คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 588/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยผลิตอีเฟดรีนและมีอีเฟดรีน ที่ได้ผลิตขึ้นตามฟ้อง ไว้ในครอบครองเพื่อขาย เมื่ออีเฟดรีน ที่จำเลยกับพวกร่วมกัน ผลิตและมีไว้ในครอบครองเพื่อขายเป็นจำนวนเดียวกัน การกระทำ ของจำเลยจึงเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท มิใช่ เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน คดีก่อนโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานร่วมกันขายยา อีเฟดรีนผสมคาเฟอีน จำนวน 30,394 เม็ด อันเป็นยาแผนปัจจุบัน และเป็นยาอันตรายที่มิได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาตาม กฎหมาย เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 มาตรา 4,12,72,79,101,122,126 ซึ่งแตกต่างจากคดีนี้ ที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานผลิตและขายอีเฟดรีน ซึ่ง เป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4,5,6,13 ทวิ,62,89,106,116 อันมีองค์ประกอบของความผิด แตกต่างกัน และของกลางก็เป็นคนละจำนวนกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้ จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ เมื่อโจทก์มีทั้งพยานบุคคล พยานเอกสาร รวมทั้งวัตถุ พยานพอรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิด แม้จำเลย จะให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม คำรับของจำเลยก็ไม่เป็นประโยชน์ แก่ศาลในการพิจารณา จึงไม่มีเหตุบรรเทาโทษ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4, 5, 6, 13 ทวิ, 62, 89, 106, 116 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 91, 83 และริบของกลางให้แก่กระทรวงสาธารณสุขกับนับโทษจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 753/2536 ของศาลจังหวัดราชบุรี
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคแรก, 89 เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ให้ลงโทษฐานผลิตอีเฟดรีน จำคุก 20 ปี ฐานขายอีเฟดรีน จำคุก 20 ปี รวมจำคุกจำเลยมีกำหนด 40 ปี ริบของกลางทั้งหมด เว้นแต่ รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 9 ค – 7961 กรุงเทพมหานคร และจักรเย็บผ้าให้แก่กระทรวงสาธารณสุข ส่วนข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2536 เวลาประมาณ 6 นาฬิกา พันตำรวจโทนัฎฐ์ เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอบางบัวทองกับพวกเข้าตรวจค้นบ้าน 3 หลัง คือบ้านเลขที่ 103/81 เลขที่ 111/210 และเลขที่ 115/194 หมู่บ้านบัวทอง หมู่ที่ 4 ตำบลบางรักพัฒนา อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี พบยาเม็ด ผงเกล็ดสี เครื่องจักรส่วนผสม อุปกรณ์ ภาชนะและสิ่งของตามบัญชีรายการตรวจยึดทรัพย์ของกลาง พร้อมทั้งจับกุมนายธนาคาร บุตรชายจำเลย และนางสาวกาญจนาภริยาจำเลยได้ที่บ้านเลขที่ 111/210 นำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี ต่อมาพนักงานสอบสวนส่งของกลางดังกล่าวไปตรวจพิสูจน์ ปรากฏว่ายาเม็ดจำนวน 2,400 เม็ด ที่ตรวจยึดได้ที่บ้านเลขที่ 103/81 ยาเม็ดจำนวน 50,000 เม็ด และผงเกล็ดสีน้ำหนัก 10 กิโลกรัม ที่ตรวจยึดได้ที่บ้านเลขที่ 115/194 เป็นอีเฟดรีน ซึ่งเป็น วัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยผลิตอีเฟดรีน และมีอีเฟดรีน ที่ได้ผลิตขึ้นไว้ในครอบครองเพื่อขาย
ที่จำเลยฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวเพราะจำเลยมีเจตนาเพื่อขายและกระทำความผิดในวาระเดียวกันคือผลิตแล้วขายไป จึงลงโทษฐานผลิตและฐานขายอีเฟดรีน เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันไม่ได้นั้น เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกับพวกร่วมกันขายอีเฟดรีน ซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 โดยการร่วมกันมีอีเฟดรีน ที่จำเลยกับพวกร่วมกันผลิตจำนวนดังกล่าวในฟ้องข้อ 1 ก. ไว้ในครอบครองของจำเลยกับพวก เพื่อขายจำหน่าย จ่าย แจกให้แก่ผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่และไม่ได้รับการยกเว้นใด ๆ ตามกฎหมาย เมื่ออีเฟดรีน ที่จำเลยกับพวกร่วมกันผลิตและมีไว้ในครอบครองเพื่อขายเป็นจำนวนเดียวกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท มิใช่เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
ที่จำเลยฎีกาต่อไปว่า จำเลยถูกจับกุมที่จังหวัดราชบุรีอันเป็นผลต่อเนื่องให้เจ้าพนักงานตำรวจขยายผลตรวจค้นบ้านของจำเลยทั้งสามหลังและพบของกลางเป็นจำนวนมาก คดีที่ศาลจังหวัดราชบุรีปรากฏว่าศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้มีคำพิพากษาอันถึงที่สุดไปแล้ว โจทก์มาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อีก จึงเป็นฟ้องซ้ำนั้น เห็นว่า คดีก่อนโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานร่วมกันขายยาอีเฟดรีน ผสมคาเฟอีน จำนวน 30,394 เม็ด อันเป็นยาแผนปัจจุบันและเป็นยาอันตรายที่มิได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาตามกฎหมาย เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 มาตรา 4, 12, 72, 79, 101, 122, 126 ซึ่งแตกต่างจากคดีนี้ที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานผลิตและขายอีเฟดรีน ซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4, 5, 6, 13 ทวิ, 62, 89, 106, 116 อันมีองค์ประกอบของความผิดแตกต่างกันและของกลางก็เป็นคนละจำนวนกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อสุดท้ายว่าเมื่อจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและศาลชั้นต้นยกขึ้นวินิจฉัย ศาลจะต้องลดโทษให้จำเลยหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์มีทั้งพยานบุคคล พยานเอกสาร รวมทั้งวัตถุพยานพอรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิด แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม คำรับของจำเลยก็ไม่เป็นประโยชน์แก่ศาลในการพิจารณา จึงไม่มีเหตุบรรเทาโทษ ที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจไม่ลดโทษให้จำเลยนั้นชอบแล้ว
พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทซึ่งมีโทษเท่ากันให้ลงโทษฐานผลิตอีเฟดรีน จำคุก 20 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share