คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1752/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ไม้ท่อนที่สามารถนำไปแปรรูปเป็นไม้พื้นปาเก้ ลูกกรงหรือที่ลูกกรงได้ ไม่มีลักษณะที่จะใช้เป็นเชื้อเพลิงยิ่งกว่าจะใช้ประโยชน์อย่างอื่น จึงไม่เป็นไม้ฟืนตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 4 (8)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๒๘ เวลากลางคืนหลังเที่ยงจำเลยทั้งสี่ร่วมกันรับเอาไว้ในครอบครอง ช่วยซ่อนเร้น ช่วยพาเอาไปเสียซึ่งไม้แดง ไม้เต็ง ไม้ประดู่ ไม้พลวง และไม้รัง รวม ๖๘ ท่อน ปริมาตร ๓.๐๙ ลูกบาศก์เมตร ซึ่งยังมิได้แปรรูปและเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. ไม่มีรอยตราค่าภาคหลวงหรือรอยตรารัฐบาลขายโดยเป็นไม้ที่มีผู้ตัดฟันชักลากมาจากป่าบ้านน้ำดินซึ่งอยู่ในบริเวณป่าแม่สลิดและป่าโป่งแดง อันเป็นป่าสงวนแห่งชาติ ทั้งนี้ โดยจำเลยทั้งสี่ไม่ได้รับอนุญาตและรู้อยู่แล้วว่าเป็นไม้ที่มีผู้ได้มาจากการกระทำความผิดฐานทำไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และในวันเวลาเดียวกันนั้น จำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันรับเอาไว้ในความครอบครอง ช่วยซ่อนเร้น ช่วยพาเอาไปเสียซึ่งไม้ฟืนอันเป็นของป่าหวงห้ามปริมาตร ๓๔.๘๙ ลูกบาศก์เมตร และเป็นไม้ฟืนที่มีผู้เก็บหามาจากป่าบ้านน้ำดิบ ซึ่งอยู่ในบริเวณป่าแม่สลิดและป่าโป่งแดง อันเป็นป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาต และโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นไม้ฟืนที่มีผู้ได้มาจากการกระทำความผิดฐานเก็บหาของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และจำเลยทั้งสี่ไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย เหตุเกิดที่ตำบลสมอโคน อำเภอบ้านตาก จังหวัดตาก ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๔, ๕, ๖, ๙, ๑๔, ๓๑, ๓๔, ๓๕ พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๔, ๑๑, ๒๗, ๒๙, ๒๙ ทวิ, ๖๙, ๗๐, ๗๑ ทวิ, ๗๒, ๗๔, ๗๔ จัตวา ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๙๑ ริบไม้และของป่าของกลาง กับจ่ายเงินสินบนนำจับตามกฎหมาย
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๑๔, ๓๔ พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๒๙ ทวิ, ๗๐ ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทที่ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๓๑ ประกอบมาตรา ๓๔ อันเป็นบทหนัก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ จำคุกคนละ ๒ ปี และปรับคนละ ๕,๐๐๐ บาท ของกลางริบ จ่ายสินบนนำจับกึ่งหนึ่งของค่าปรับ
โจทก์และจำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๖๙ วรรคสอง ( ), ๗๐ อีกกระทงหนึ่ง จำคุกคนละ ๓ ปี ปรับคนละ ๖,๐๐๐ บาท รวมโทษตามข้อหามีไม้ฟืนโดยไม่ได้รับอนุญาตอีก ๒ ปี ปรับ ๕,๐๐๐ บาท เป็นจำคุกคนละ ๕ ปี ปรับคนละ ๑๐,๐๐๐ บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสี่ฎีกาโดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้น เห็นว่าข้อความที่ตัดสินเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุด และอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาต่อไปตามฎีกาของจำเลยทั้งสี่ว่าไม้ของกลางบางส่วนคือ ไม้แดง ไม้เต็ง ไม้ประดู่ ไม้พลวง และไม้รัง รวม ๖๘ ท่อน ปริมาตร ๓.๐๙ ลูกบาศก์เมตร เป็นไม้ฟืนอันเป็นของป่าหรือไม่ ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๔(๘) ให้คำนิยามของคำว่า ไม้ฟืนไว้ว่า หมายความว่า บรรดาไม้ที่มีลักษณะและคุณภาพเหมาะสมที่จะใช้เป็นเชื้อเพลิงยิ่งกว่าจะใช้ประโยชน์อย่างอื่น สำหรับไม้ท่อนของกลางดังกล่าว นายศรีเทาเบิกความว่า ได้แยกออกมาจากส่วนที่เป็นไม้ฟืนซึ่งมีลักษณะเป็นรูและโพลงเหมาะสำหรับเป็นเชื้อเพลิง เป็นไม้ท่อนที่สามารถนำไปแปรรูปเป็นไม้พื้นปาเก้ ลูกกรง หรือขี่ลูกกรงได้ซึ่งตามภาพถ่ายหมาย จ.๒ จะเห็นได้ว่ามีลักษณะที่จะทำประโยชน์ได้ดังคำเบิกความของนายศรีเทา และการตรวจสอบนี้ยังได้ทำบันทึกและบัญชีขนาดไม้ของกลางนี้ไว้ตามบันทึกการตรวจสอบจำนวน วัดขนาด และปริมาตร ไม้ของกลางกับบัญชีขนาดไม้ของกลางไว้ตามเอกสารหมาย จ.๕ แผ่นที่ ๑ ถึงแผ่นที่ ๔ และได้แยกไม้ที่มีลักษณะเป็นไม้ฟืนไว้ตามบัญชีของป่า (ไม้ฟืน) เอกสารหมาย จ.๕ แผ่นที่ ๕ ที่จำเลยทั้งสี่นำสืบว่า ไม้ของกลางทั้งหมดเป็นไม้ฟืนจึงเป็นคำเบิกความโดยปราศจากเหตุผลและขัดกับลักษณะไม้ของกลางที่จะพึงรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ อนึ่ง การที่จำเลยที่ ๔ รับไม้ท่อนของกลางซึ่งเป็นไม้ที่มีผู้ได้มาโดยการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๑๔ ย่อมมีความผิดตามมาตรา ๓๑ และ ๓๔ อีกบทหนึ่งด้วย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษ จำเลยที่ ๔ ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๖๙ วรรคสอง, ๗๐ บทเดียวจึงไม่ชอบ และที่ศาลชั้นต้นลงโทษฐานรับไม้ฟืนของกลางไว้ในครอบครองโดยมิได้ระบุพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๓๑ วรรคสอง และพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๒๙ และ ๗๑ ทวิ ก็เป็นการปรับบทลงโทษไม่ครบถ้วน
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๔ มีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๑๔, ๓๑ วรรคสอง และ ๓๔ พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๑๑, ๒๙, ๒๙ ทวิ, ๖๙ วรรคสอง, ๗๐, ๗๑ ทวิ, ๗๓ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐, ๙๑ ส่วนจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ มีความผิดตามบทกฎหมายดังกล่าวประกอบด้วยมาตรา ๘๖ ฐานรับไม้ท่อนของกลางไว้ในครอบครอง ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดกระทงหนึ่ง ให้ลงโทษจำเลยที่ ๔ จำคุก ๓ ปี ลงโทษจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ ฐานเป็นผู้สนับสนุนในความผิดกระทงนี้ จำคุกคนละ ๒ ปี ฐานรับไม้ฟืนของกลางไว้ในครอบครอง ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดอีกกระทงหนึ่ง ให้ลงโทษจำเลยที่ ๔ จำคุก ๒ ปี ลงโทษจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ ฐานเป็นผู้สนับสนุนในความผิดกระทงนี้ จำคุกคนละ ๑ ปี ๔ เดือน รวมโทษสำหรับจำเลยที่ ๔ จำคุก ๕ ปี สำหรับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ จำคุกคนละ ๓ ปี ๔ เดือน โดยไม่ลงโทษปรับจำเลยทุกคน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share