แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
พยานโจทก์คือจ่าสิบตำรวจ ม. และสิบตำรวจโท อ. ได้ทำการตรวจค้นรถยนต์โดยสารประจำทางอย่างเปิดเผยต่อหน้าผู้โดยสารจำนวนมากเชื่อว่าปฏิบัติหน้าที่โดยชอบธรรมส่วนนางสาว ว.ซึ่งเป็นพยานคนกลางก็ได้ทำหน้าที่พนักงานบริการประจำรถยนต์โดยสารประจำทางมาหลายเดือนย่อมสามารถจำพฤติกรรมของผู้โดยสารและตำแหน่งที่วางกระเป๋าใส่เสื้อผ้าหรือสิ่งของต่างๆของผู้โดยสารได้ดีพอสมควรประกอบกับขณะที่จำเลยที่1นำกระเป๋าทั้งสองใบซึ่งมีเฮโรอีนบรรจุอยู่ไปเก็บไว้บนชั้นวางของก็ยังไม่มีผู้โดยสารคนอื่นอยู่บนรถทั้งจำเลยที่1เป็นผู้เลือกวางกระเป๋าในลักษณะที่ผิดปกติเองด้วยเป็นเหตุให้นางสาว ว. เกิดความสงสัยย่อมจดจำการกระทำของจำเลยที่1ได้แม่นยำเป็นพิเศษกว่าผู้โดยสารรายอื่นเมื่อคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสามนี้สอดคล้องเชื่อมโยงกันไม่มีข้อพิรุธหรือข้อระแวงสงสัยว่าจะปรักปรำให้ร้ายจำเลยที่1จึงมีน้ำหนักในการรับฟัง
ย่อยาว
โจทก์ ฟ้อง ขอให้ ลงโทษ จำเลย ตาม พระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33, 83 ริบของกลาง
จำเลย ที่ 1 ให้การ ปฏิเสธ
จำเลย ที่ 2 ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้น พิพากษา ว่า จำเลย ทั้ง สอง มี ความผิด ตาม พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง , 66 วรรคสองลงโทษ ประหารชีวิต จำเลย ที่ 2 ให้การรับสารภาพ เป็น ประโยชน์ แก่การ พิจารณา มีเหตุ บรรเทา โทษ ลดโทษ ให้ กึ่งหนึ่ง ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ประกอบ มาตรา 52(2) คง จำคุก จำเลย ที่ 2 ตลอด ชีวิตริบของกลาง
จำเลย ที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า “พิเคราะห์ แล้ว ข้อเท็จจริง เบื้องต้นรับฟัง ได้ว่า ตาม วัน เวลา และ สถานที่เกิดเหตุ ใน ฟ้อง ร้อยตำรวจเอก สุผล สุขคณาลักษณ์ หัวหน้า ชุด ด่าน ตรวจ สลกบาตร จังหวัด กำแพงเพชร ได้รับ แจ้ง จาก สาย ลับ ว่า จะ มี การ ขน ยาเสพติดให้โทษ จาก จังหวัดเชียงใหม่ เข้า กรุงเทพมหานคร จึง ร่วม กับ จ่าสิบตำรวจ มานะ ศิริมั่น สิบตำรวจโท อนุวัตร ขวัญเมือง และ เจ้าพนักงาน ตำรวจ ผู้ใต้บังคับบัญชา อีก หลาย นาย ทำการ ตรวจค้น รถยนต์โดยสาร ประจำทาง ของ บริษัท สมบัติทัวร์ ซึ่ง แล่น มาจาก จังหวัด เชียงใหม่ จะ เข้า สู่ กรุงเทพมหานคร ผล การ ตรวจค้นพบ เฮโรอีน จำนวน 44 แท่ง บรรจุ อยู่ ใน กระเป๋า เสื้อผ้า 2 ใบบน รถยนต์โดยสาร ประจำทาง นั้น จึง ยึด ไว้ เป็น ของกลาง จาก นั้น ได้ ทำการจับกุม จำเลย ทั้ง สอง เป็น ผู้ต้องหา ส่ง พนักงานสอบสวน ร้อยตำรวจตรี บุญพา ปาระแม พนักงานสอบสวน คดี นี้ ได้ ส่ง เฮโรอีน ของกลาง ให้ ผู้ชำนาญการพิเศษ ตรวจ พิสูจน์ ปรากฏว่า เป็น เฮโรอีน น้ำหนัก สุทธิรวม 15,589 กรัม คำนวณ เป็น สาร บริสุทธิ์ 11,535 กรัม พนักงานสอบสวนได้ แจ้ง ข้อหา แก่ จำเลย ทั้ง สอง ว่า มี เฮโรอีน ไว้ ใน ครอบครอง เพื่อ จำหน่ายจำเลย ที่ 1 ให้การ ปฏิเสธ ส่วน จำเลย ที่ 2 ให้การรับสารภาพ คดี สำหรับจำเลย ที่ 2 ถึงที่สุด แล้ว มี ปัญหา ขึ้น มา สู่ ศาลฎีกา ว่า จำเลย ที่ 1ได้ ร่วม กระทำผิด กับ จำเลย ที่ 2 หรือไม่ ได้ความ จาก จ่าสิบตำรวจ มานะ และ สิบตำรวจโท อนุวัตร ผู้ทำการ ตรวจค้น รถยนต์โดยสาร ประจำทาง คัน เกิดเหตุ ว่า เมื่อ พยาน ทั้ง สอง ตรวจ พบ กระเป๋า ลาย ทาง สี น้ำตาล ซึ่งภายใน มี ของแข็ง สี่เหลี่ยม บรรจุ อยู่ จ่าสิบตำรวจ มานะ ได้ สอบถาม ว่า เป็น กระเป๋า ของ ใคร แต่ ไม่มี ผู้ ตอบ จ่าสิบตำรวจ มานะ จึง สอบถาม นางสาว วารี ฟักเพียง พนักงานบริการ ประจำ รถยนต์โดยสาร นางสาว วารี บอก ว่า เป็น กระเป๋า ใส่ เสื้อผ้า ของ ผู้โดยสาร หมายเลข 7 ซีดี จ่าสิบตำรวจ มานะ จึง เดิน ไป สอบถาม จำเลย ทั้ง สอง ซึ่ง นั่ง อยู่ ที่นั่ง หมายเลข ดังกล่าว ว่า เป็น เจ้าของ กระเป๋า ใส่ เสื้อผ้า ใบ นี้ หรือไม่จำเลย ทั้ง สอง มอง หน้า กัน มี ท่าทาง กระ สับ กระ ส่าย แต่ ไม่ยอม รับ ว่าเป็น เจ้าของ กระเป๋า ใส่ เสื้อผ้า ดังกล่าว นางสาว วารี ยืนยัน ว่า เป็น กระเป๋า ใส่ เสื้อผ้า ของ ผู้โดยสาร หมายเลข ที่นั่ง 7 ซีดีจำเลย ที่ 1 จึง ยอมรับ ว่า เป็น กระเป๋า ใส่ เสื้อผ้า ของ ตน จ่าสิบตำรวจ มานะ เปิด กระเป๋า ออก ดู พบ ว่า มี เฮโรอีน ของกลาง จำนวน 22 แท่ง บรรจุ อยู่ และ นางสาว วารี ยัง ชี้ ไป ที่ กระเป๋า สี น้ำ เงิน ซึ่ง วาง อยู่ ด้านขวา มือ เยื้อง กับ กระเป๋า ลาย ทาง สี น้ำตาล ว่า เป็น ของ จำเลย ทั้ง สองอีก 1 ใบ จ่าสิบตำรวจ มานะ ยก กระเป๋า ลง มา เปิด ดู มี ผ้า ไหม พรม ปิด อยู่ เมื่อ เปิด ไหม พรม ออก พบ เฮโรอีน ของกลาง อีก จำนวน หนึ่ง ห่อ ด้วยพลาสติก จำนวน 22 แท่ง เช่นกัน นอกจาก นี้ นางสาว วารี พยานโจทก์ ก็ เบิกความ ยืนยัน ว่า เมื่อ รถยนต์โดยสาร ประจำทาง ซึ่ง พยาน เป็นพนักงานบริการ ประจำ รถ เข้า เทียบท่า ที่ สถานีขนส่ง จังหวัด เชียงใหม่เวลา 20.30 นาฬิกา จำเลย ที่ 1 ได้ ถือ กระเป๋า ของกลาง 2 ใบ ขึ้น บน รถก่อน ผู้โดยสาร คนอื่น ๆ แล้ว ยื่น ตั๋ว เลขที่ นั่ง 7 ซีดี ตาม เอกสาร หมายจ. 1 ให้ พยาน หา ที่นั่ง ให้ พยาน พา จำเลย ที่ 1 ไป ยัง ที่นั่ง 7 ซีดีเมื่อ พยาน ฉีก ตั๋ว โดยสาร แล้ว จำเลย ที่ 1 ได้ นำ กระเป๋า ไป เก็บ ไว้บน ชั้น วาง ของ ด้านขวา 1 ใบ และ ด้านซ้าย อีก 1 ใบ แต่ ตำแหน่งที่ วาง กระเป๋า ทั้ง สอง ใบ ไม่ ตรง กับ ที่นั่ง 7 ซีดี เป็น ที่ ผิด สังเกตของ พยาน เพราะ ตาม ปกติ แล้ว ผู้โดยสาร ทั่วไป จะ วาง กระเป๋า เสื้อผ้าของ ตน ไว้ ใกล้ ตัว หรือ ที่ ชั้น วาง ของ เหนือ ศีรษะ ของ ตน จำเลย ที่ 1วาง กระเป๋า ใน ลักษณะ ดังกล่าว แล้ว ก็ เดินทาง จาก รถ ไป พอ ใกล้ เวลารถ จะ ออกจาก สถานีขนส่ง จำเลย ที่ 1 เดิน ขึ้น มา กับ จำเลย ที่ 2 แล้ว จำเลยทั้ง สอง ไป นั่ง ที่ เลขที่ นั่ง 7 ซีดี จน กระทั่ง ถูกจับ กุม เห็นว่า จ่าสิบตำรวจ มานะ และ สิบตำรวจโท อนุวัตร ได้ ทำการ ตรวจค้น รถยนต์ โดยสาร ประจำทาง อย่าง เปิดเผย ต่อหน้า ผู้โดยสาร จำนวน มาก เชื่อ ได้ว่าปฏิบัติ หน้าที่ โดยชอบ ธรรม นางสาว วารี ก็ เป็น พยาน คนกลาง ได้ ทำ หน้าที่ พนักงานบริการ ประจำ รถยนต์โดยสาร ประจำทาง ของ บริษัท สมบัติทัวร์ มา หลาย เดือน ย่อม สามารถ จำ พฤติกรรม ของ ผู้โดยสาร และ ตำแหน่ง ที่ วาง กระเป๋า ใส่ เสื้อผ้า หรือ สิ่งของ ต่าง ๆ ของผู้โดยสาร ได้ ดี พอสมควร ประกอบ กับ ขณะที่ จำเลย ที่ 1 นำ กระเป๋าทั้ง สอง ใบ ไป เก็บ ไว้ บน ชั้น วาง ของ ก็ ยัง ไม่มี ผู้โดยสาร คนอื่น อยู่ บน รถทั้ง จำเลย ที่ 1 เป็น ผู้ เลือก วาง กระเป๋า ใน ลักษณะ ที่ ผิดปกติ เองด้วย จึง เป็นเหตุ ทำให้ นางสาว วารี เกิด ความ สงสัย ย่อม จด จำ การกระทำ ของ จำเลย ที่ 1 ได้ แม่นยำ เป็น พิเศษ กว่า ผู้โดยสาร ราย อื่น ดังนี้คำเบิกความ ของ พยานโจทก์ ทั้ง สาม ดังกล่าว จึง สอดคล้อง เชื่อม โยงกัน ไม่มี ข้อ พิรุธ หรือ ข้อ ระแวง สงสัย ว่า จะ ปรักปรำ ให้ ร้าย จำเลย ที่ 1จึง มี น้ำหนัก ใน การ รับฟัง ที่ จำเลย ที่ 1 ต่อสู้ ว่า ไม่มี ส่วน รู้เห็นเกี่ยวกับ เฮโรอีน ของกลาง และ ไม่ทราบ ว่า มี เฮโรอีน ของกลาง ซุกซ่อนอยู่ ใน กระเป๋า 2 ใบ นั้น ไม่อาจ หักล้าง คำเบิกความ ของ นางสาว วารี ได้ และ เมื่อ จ่าสิบตำรวจ มานะ สอบถาม ว่า กระเป๋า ของกลาง เป็น ของ ใคร จำเลย ที่ 1 มี อาการ กระ สับ กระ ส่าย ไม่ยอม รับ ว่า เป็น กระเป๋า ที่ ตน ถือขึ้น มา จน กระทั่ง นางสาว วารี ยืนยัน ว่า เป็น กระเป๋า ของ จำเลย ที่ 1จำเลย ที่ 1 จึง ยอมรับ ว่า เป็น ของ ตน แต่ ก็ ไม่ยอม บอก ว่า รับ ฝาก จาก จำเลยที่ 2 ให้ ถือ ขึ้น มา ตาม ที่ ได้ นำสืบ ภายหลัง ยิ่งกว่า นั้น ที่ จำเลย ที่ 1นำสืบ ใน เรื่อง ตั๋ว โดยสาร ว่า จำเลย ที่ 1 มา พบ จำเลย ที่ 2 ที่สถานีขนส่ง จังหวัด เชียงใหม่ โดย บังเอิญ จำเลย ที่ 2 ได้ ซื้อ ตั๋วโดยสาร ไว้ ให้ เพื่อน แต่ เพื่อน ไม่มา จึง ขาย ตั๋ว ต่อ ให้ จำเลย ที่ 1เนื่องจาก ตั๋ว เที่ยว นั้น หมด จำเลย ที่ 1 จึง ซื้อ ไว้ นั้น ก็ ปรากฏว่าขัดแย้ง กับ ข้อความ ใน ตั๋ว รถยนต์โดยสาร ตาม เอกสาร หมาย จ. 1 ที่ ระบุ ชื่อว่า คุณวี ซึ่ง เป็น ชื่อ เล่น ของ จำเลย ที่ 1 หาก เป็น ตั๋ว รถยนต์โดยสาร ที่ จำเลย ที่ 2 ซื้อ จริง ก็ ไม่ น่า ระบุ ใน ตั๋ว เป็น ชื่อ ของ จำเลย ที่ 1ข้อ นำสืบ ของ จำเลย ที่ 1 จึง เป็น ข้อ พิรุธ ไม่น่าเชื่อถือ ได้ พยานหลักฐาน ที่ โจทก์ นำสืบ มา มี น้ำหนัก มั่นคง ฟังได้ ว่า จำเลย ที่ 1ร่วม กระทำผิด กับ จำเลย ที่ 2 พยานหลักฐาน ของ จำเลย ที่ 1 ไม่มีน้ำหนัก หักล้าง ได้ ที่ ศาลล่าง ทั้ง สอง พิพากษา ลงโทษ จำเลย ที่ 1มา นั้น ชอบแล้ว ฎีกา ของ จำเลย ที่ 1 ฟังไม่ขึ้น ”
พิพากษายืน