แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คที่จำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คอ้างเหตุผลว่า ผู้สั่งจ่ายสั่งระงับการจ่ายการกระทำของจำเลยเป็นความผิดโดยจำเลยมีเจตนาที่จะไม่ให้โจทก์ได้รับเงินตามเช็คและบังอาจออกเช็คให้ใช้เงินที่มีจำนวนสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีอันจะพึงจ่ายให้ได้ และออกเช็คในขณะที่ออกจำเลยไม่มีเงินอยู่ในบัญชีพอจ่ายตามเช็ค เป็นการกล่าวอ้างว่าจำเลยกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3(1)(2) และ (3)มิใช่เป็นการฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยห้ามมิให้ใช้เงินตามเช็ค โดยมีเจตนาทุจริต ตามมาตรา 3(5) แม้คำฟ้องโจทก์จะมิได้บรรยายว่าจำเลยมีเจตนาทุจริต ฟ้องของโจทก์ก็เป็นฟ้องที่ครบองค์ประกอบความผิดแล้ว ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าฟ้องโจทก์ขาดองค์ประกอบความผิด พิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโดยยังมิได้วินิจฉัยว่าคดีมีมูลหรือไม่ เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าฟ้องโจทก์ครบองค์ประกอบความผิดแล้ว ก็ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยว่าคดีโจทก์มีมูลให้เสร็จไปได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าฟ้องโจทก์ขาดองค์ประกอบความผิด พิพากษายกฟ้องศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว สำหรับปัญหาที่ว่า โจทก์บรรยายฟ้องครบองค์ประกอบความผิดหรือไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2497 มาตรา 3 บัญญัติถึงการกระทำที่เป็นความผิดไว้รวม5 อนุมาตราด้วยกัน การสั่งจ่ายเช็คหรือการออกเช็คที่เข้าลักษณะในแต่ละอนุมาตราเป็นความผิดด้วยกันทั้งสิ้น ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์สรุปได้ว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คที่จำเลยเป็นผู้สั่งจ่าย เมื่อถึงกำหนดโจทก์นำไปเข้าธนาคารเพื่อเรียกเก็บเงิน ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินโดยอ้างเหตุผลว่า ผู้สั่งจ่ายสั่งระงับการจ่ายการกระทำของจำเลยเป็นความผิด โดยจำเลยมีเจตนาที่จะไม่ให้โจทก์ได้รับเงินตามเช็คและบังอาจออกเช็คให้ใช้เงินที่มีจำนวนสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีอันจะพึงจ่ายให้ได้ และออกเช็คในขณะที่ออกจำเลยไม่มีเงินอยู่ในบัญชีพอจ่ายตามเช็ค คำบรรยายฟ้องดังกล่าวเป็นการกล่าวอ้างว่า จำเลยกระทำความผิดตามมาตรา 3(1)(2)และ (3) มิใช่เป็นการฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยห้ามมิให้ใช้เงินตามเช็คโดยมีเจตนาทุจริตตามมาตรา 3(5) ดังนั้น แม้ในคำฟ้องโจทก์จะมิได้บรรยายว่าจำเลยมีเจตนาทุจริต ฟ้องของโจทก์ก็เป็นฟ้องที่ครบองค์ประกอบความผิดแล้ว คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
สำหรับปัญหาที่ว่า คดีของโจทก์มีมูลหรือไม่ ซึ่งศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยนั้น ศาลฎีกาจะได้วินิจฉัยให้เสร็จไปในชั้นนี้โดยเห็นว่าคดีโจทก์มีมูลเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3(1), (2), (3)”
พิพากษากลับ ให้ประทับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป