แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย หากไม่อาจจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ได้เพราะสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องโดยเหตุสุดวิสัย ก็ให้จำเลยคืนเงินให้โจทก์ จำเลยขอปฏิบัติตามคำพิพากษาโดยวิธีคืนเงินให้โจทก์ อ้างเหตุผลในคำร้องว่าจำเลยจำต้องใช้บ้านที่อยู่อาศัย จำเลยไม่มีบ้านอื่นอีก ไม่สามารถหาที่อยู่ใหม่ได้และจำเลยเอาโฉนดไปประกันหนี้เงินกู้ไว้ เหตุดังกล่าวไม่ใช่เหตุสุดวิสัยที่จำเลยไม่อาจจดทะเบียนโอนที่ดินและบ้านได้ เพราะขณะที่จำเลยยื่นคำร้องจำเลยยังเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านอยู่ในวิสัยที่จะโอนให้ได้ การที่ศาลชั้นต้นไม่สอบถามโจทก์ก่อนและสั่งอนุญาตตามคำร้องของจำเลยจึงเป็นการสั่งโดยผิดหลงและเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ คำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งในชั้นบังคับคดีไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าให้เป็นที่สุด เมื่อโจทก์ร้องขอให้เพิกถอน ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจเพิกถอนได้ ที่จำเลยอ้างว่าได้โอนขายที่และบ้านให้บุคคลภายนอกไปแล้วไม่สามารถจดทะเบียนโอนให้โจทก์นั้น ก็เป็นเรื่องที่จำเลยกระทำขึ้นในภายหลังที่จำเลยทราบคำบังคับของศาลแล้ว ไม่เป็นเหตุที่จะไม่ให้ศาลสั่งเพิกถอนคำสั่งที่ผิดหลงได้
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน พร้อมบ้านให้แก่จำเลย หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย หากไม่อาจจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิได้เพราะสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้ทำได้ โดยเหตุสุดวิสัย ก็ให้จำเลยคืนเงิน ๓๐,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องลงวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๒๗ ว่าบ้านที่ศาลพิพากษาให้โอนแก่โจทก์นั้น จำเลยและครอบครัวใช้เป็นที่อยู่อาศัยจำเลยไม่มีบ้านอื่นอีก จำเลยไม่สามารถหาที่อยู่ใหม่ ประกอบกับโฉนดที่ดินก็ไม่ได้อยู่ที่จำเลย เพราะจำเลยนำไปให้เจ้าหนี้ยึดถือไว้เป็นหลักประกันหนี้เงินกู้ ด้วยเหตุสุดวิสัยและสภาพแห่งหนี้มีความจำเป็นดังกล่าว จำเลยขอปฏิบัติตามคำพิพากษาโดยขอคืนเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย ศาลชั้นต้นอนุญาตจำเลยจึงนำเงินมาวางศาล
โจทก์ยื่นคำร้องว่า จำเลยยังอยู่ในฐานะที่จะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างได้ และโจทก์ประสงค์จะให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างอยู่ ขอให้ศาลหมายเรียกจำเลยมาสอบถามเพื่อนัดโอนกรรมสิทธิ์กันต่อไป กับให้จำเลยมารับเงินคืนไปด้วย
ในวันนัดสอบถาม จำเลยแถลงว่าจำเลยได้โอนขายที่พิพาทให้แก่บุคคลภายนอกไปเมื่อเดือนกันยายน ๒๕๒๗ แล้ว จึงไม่อาจปฏิบัติตามคำพิพากษาได้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ที่พิพาทจำเลยโอนไปยังบุคคลภายนอกแล้ว หากโจทก์ประสงค์จะได้ที่พิพาทคืนก็ต้องไปว่ากันตามสิทธิต่อไป ศาลยังไม่อาจทำอะไรแก่จำเลยได้
โจทก์ยื่นคำร้องลงวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๒๗ ว่าศาลได้มีคำสั่งอนุญาตไปโดยผิดลำดับขั้นตอนของคำพิพากษา ซึ่งโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมด้วย ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งเดิมที่สั่งอนุญาตให้จำเลยวางเงินแทนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์นั้นเสีย พร้อมทั้งมีคำสั่งอายัดที่ดิน และห้ามจำเลยและหรือบุคคลที่รับโอนไปจากจำเลยนั้นโอนต่อให้ผู้อื่น พร้อมทั้งสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่จำเลยโอนให้แก่บุคคลภายนอกนั้นเสีย แล้วให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมบ้านพิพาทให้แก่โจทก์ต่อไป
ศาลชั้นต้นพิจารณาคำร้องแล้ว มีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งที่อนุญาตตามคำร้องของจำเลย ลงวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๒๗ นั้นเสีย และให้แจ้งอายัดที่พิพาทไปยังเจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร
จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งตามคำร้องของโจทก์ลงวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๒๗ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าพิจารณาแล้วไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วพิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคำร้องของจำเลยฉบับลงวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๒๗ ยังไม่มีเหตุสุดวิสัยที่จำเลยไม่อาจจดทะเบียนโอนที่พิพาท และบ้านพิพาทให้โจทก์ได้เพราะขณะที่จำเลยยื่นคำร้องดังกล่าว จำเลยยังมีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาทและบ้านพิพาทอยู่ จำเลยจึงอยู่ในวิสัยที่จะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทและบ้านพิพาทให้โจทก์ตามคำพิพากษาได้ แต่จำเลยไม่โอน กลับมายื่นคำร้องขอวางเงินแทน การกระทำของจำเลยจึงเป็นการหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนของคำพิพากษา การที่ศาลชั้นต้นไม่สอบถามโจทก์ก่อนและสั่งอนุญาตตามคำร้องของจำเลยจึงเป็นการสั่งโดยผิดหลงและเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ คำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งในชั้นบังคับคดีไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าให้เป็นที่สุด เมื่อโจทก์ร้องขอให้เพิกถอน ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจสั่งเพิกถอนได้ ที่จำเลยอ้างว่าได้โอนขายที่พิพาทและบ้านให้แก่บุคคลภายนอกไปแล้ว ไม่สามารถจดทะเบียนโอนให้โจทก์ได้นั้นก็เป็นเรื่องจำเลยกระทำขึ้นในภายหลังที่จำเลยทราบคำบังคับของศาลแล้ว ไม่อาจเป็นเหตุที่จะไม่ให้ศาลสั่งเพิกถอนคำสั่งที่ผิดหลงได้ คำร้องของโจทก์ฉบับลงวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๒๗ ก็มิใช่คำร้องซ้อนกับคำร้องเดิมฉบับลงวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๒๗ เพราะคำร้องฉบับลงวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๒๗ เป็นคำร้องที่โจทก์ขอให้ศาลหมายเรียกจำเลยมาสอบถามเพื่อให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาโดยโอนที่พิพาทให้โจทก์ แต่คำร้องฉบับลงวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๒๗ เป็นคำร้องที่โจทก์ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งที่อนุญาตโดยผิดหลง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งเพิกถอนคำสั่งที่อนุญาตโดยผิดหลงนั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน