แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยตัดฟ้องว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม (อ้างว่าข้อ 1.ค. กล่าวว่าจำเลยทั้งสองได้บังอาจสมคบกันใช้อุบายหลอกลวงกล่าวเท็จแก่นายเจริญ ซึ่งแสดงว่าได้ใช้อุบายหลอกลวงกล่าวเท็จทั้งสองคนแต่ในข้อเดียวกันก็กล่าวว่าจำเลยที่ 2 แต่คนเดียวเป็นผู้กล่าวว่ากองทัพอากาศได้ใช้ให้จำเลยมาเก็บเงินฟ้องเช่นนี้เป็นสองแง่สองคมทำให้จำเลยเสียเปรียบและหลงข้อต่อสู้) แต่เมื่ออ่านฟ้องแล้วได้ความว่าโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยทั้ง 2 สมคบกันทำใบเสร็จปลอมขึ้นหรือมิฉะนั้นก็สมคบกันใช้หนังสือปลอมโดยจำเลยที่ 1 ใช้ให้จำเลยที่ 2 นำใบเสร็จปลอมไปเก็บเงินจำเลยเข้าใจได้ดีไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบหรือหลงข้อต่อสู้จึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
เมื่อพยานมาเบิกความยังศาลโดยถูกโจทก์อ้างในฐานเป็นผู้ชำนาญการตรวจลายมือ (ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 243 วรรคแรก) ศาลมิได้สั่งให้พยานทำความเห็นเป็นหนังสือดังนี้พยานจึงไม่อยู่ในบังคับต้องส่งสำเนาเอกสารการตรวจลายมือให้จำเลยก่อน 3 วันตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 243 วรรคสอง
เมื่อโจทก์ไม่ได้สืบให้เห็นว่าหนังสือข่าวทหารอากาศเป็นส่วนราชการในกองทัพอากาศอย่างไรรายรับรายจ่ายของหนังสือนี้ก็ไม่ปรากฏว่าใช้จ่ายในเงินของราชการหรือไม่ ประการใดดังนี้แม้กองทัพอากาศจะเป็นเจ้าของและรองเสนาธิการทหารอากาศเป็นบรรณาธิการก็ดีก็ยังฟังไม่ได้ว่าเป็นหนังสือราชการของกองทัพอากาศจำเลยปลอมใบเสร็จรับเงินหนังสือข่าวดังกล่าวจึงมีความผิดตาม มาตรา 224 ไม่ใช่ 225
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ก. เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2497 ได้มีผู้ปลอมใบเสร็จรับเงินของราชการกองทัพอากาศขึ้นทั้งฉบับมีความว่าได้รับเงินจากบริษัทจี้เซ้งสี่พระยา 600 บาท ในหนังสือข่าวทหารอากาศและปลอมลายมือชื่อร.อ.ลพ ผู้รับเงินโดยตั้งใจให้เป็นหนังสือสำคัญในราชการกองทัพอากาศซึ่งเป็นความเท็จ ความจริงกองทัพอากาศมิได้ออกใบเสร็จรับเงินค่าโฆษณาจากบริษัทจี้เซ้งทั้ง ร.อ.ลพมิได้รับเงิน 600 บาท ข. จำเลยทั้งสองบังอาจสมคบกันใช้หนังสือสำคัญในราชการปลอมโดยจำเลยที่ 1 ใช้ให้จำเลยที่ 2 นำใบเสร็จรับเงินดังกล่าวไปขอเก็บเงินจากบริษัทจี้เซ้ง ทั้งนี้โดยจำเลยสมคบกันปลอมใบเสร็จรับเงินนั้นโดยตั้งใจให้เป็นหนังสือสำคัญในราชการกองทัพอากาศที่แท้จริงหรือมิฉะนั้นจำเลยทั้ง 2 สมคบกันนำใบเสร็จรับเงินปลอมดังกล่าวไปใช้เป็นหนังสือสำคัญในราชการกองทัพอากาศที่แท้จริงโดยจำเลยทั้งสองรู้ว่าเป็นหนังสือสำคัญที่มีผู้ทำปลอมขึ้น ค. จำเลยสมคบกันหลอกลวงให้นายเจริญจ่ายเงิน 600 บาทของบริษัทจี้เซ้งแก่จำเลยหากมีเหตุสุดวิสัยมาขัดขวางเสียโดยนายเจริญรู้เสียก่อนว่าเป็นใบเสร็จปลอม ขอให้ลงโทษตามมาตรา 225-227 และ 304
จำเลยที่ 1 ต่อสู้ว่ามิได้ปลอมใบเสร็จตามฟ้อง ใบเสร็จของกลางเป็นของนายบุญเรือนจ้างมาให้จำเลยที่ 1 ช่วยไปเก็บเงิน จำเลยที่ 1 เชื่อโดยสุจริตว่าเป็นของกองทัพอากาศที่แท้จริงจึงรับไว้และให้จำเลยที่ 2 ไปเก็บเงินอีกต่อหนึ่ง และตัดฟ้องว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมทำให้จำเลยเสียเปรียบและหลงข้อต่อสู้ ฯลฯ
จำเลยที่ 2 ต่อสู้ว่าจำเลยที่ 1 ขอให้จำเลยที่ 2 ไปเก็บแทนโดยสัญญาให้ค่าจ้าง
ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ปลอมใบเสร็จของกลางจำเลยที่ 2 รับไว้โดยไม่รู้ว่าปลอมไม่มีผิด ใบเสร็จของกลางเป็นหนังสือสำคัญในราชการฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมพิพากษาว่านายประเสริฐจำเลยที่ 1 มีความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 225ฯ ให้จำคุกไว้ 3 ปี ให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะนายประทีปจำเลยที่ 2 ของกลางริบ
นายประเสริฐจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
นายประเสริฐจำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 เพียง 3 ปี ฉะนั้นจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ส่วนฎีกาปัญหาข้อกฎหมายของจำเลยที่ 1 รวม 3 ข้อคือ
1. ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
2. ศาลจะรับฟังคำนายร้อยตำรวจเอกเล็กไม่ได้เพราะผิดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 243
3. ใบเสร็จรับเงินของกลางเป็นหนังสือธรรมดาไม่ใช่หนังสือสำคัญในราชการ เพราะหนังสือข่าวทหารอากาศไม่ใช่ราชการ
ฎีกาข้อ 1 นั้นศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อได้อ่านฟ้องโจทก์แล้วก็คงเก็บใจความได้ว่าโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองสมคบกันทำใบเสร็จปลอมขึ้นหรือมิฉะนั้นก็สมคบกันใช้หนังสือปลอมโดยจำเลยที่ 1 ใช้ให้จำเลยที่ 2 นำใบเสร็จปลอมไปเก็บเงินจากนายเจริญ ฟ้องดังนี้จำเลยเข้าใจได้ดีไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบหรือหลงข้อต่อสู้อย่างใดจึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
ฎีกาข้อ 2. ที่คัดค้านว่าจะรับฟังคำ ร.ต.อ.เล็กไม่ได้เพราะโจทก์มิได้ส่งสำเนาความเห็นของพยานให้แก่จำเลยก่อน 3 วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 243 นั้น เห็นว่ามาตรา 243 นั้นเป็นเรื่องที่ศาลสั่งให้พยานทำความเห็นเป็นหนังสือและบังคับว่าพยานต้องมาเบิกความประกอบหนังสือนั้นและต้องส่งสำเนาหนังสือให้จำเลยก่อน 3 วัน แต่คดีนี้ศาลมิได้สั่งให้พยานทำความเห็นเป็นหนังสือ พยานมาเบิกความยังศาลโดยถูกโจทก์อ้างในฐานเป็นผู้ชำนาญการตรวจลายมือจึงไม่อยู่ในบังคับที่จะต้องส่งสำเนาเอกสารการตรวจลายมือให้จำเลยก่อน 3 วัน
ฎีกาข้อ 3. นั้นเห็นว่าแม้กองทัพอากาศจะเป็นเจ้าของหนังสือข่าวทหารอากาศและรองเสนาธิการเป็นบรรณาธิการหนังสือนั้นก็ดีโจทก์ก็มิได้สืบให้เห็นว่าหนังสือข่าวทหารอากาศเป็นส่วนราชการในกองทัพอากาศอย่างไร รายรับรายจ่ายของหนังสือนี้ก็ไม่ปรากฏว่าใช้จ่ายเงินของราชการหรือไม่ประการใด จึงยังฟังไม่ได้ว่าหนังสือข่าวทหารอากาศเป็นหนังสือราชการของทหารอากาศฉะนั้นใบเสร็จรับเงินของหนังสือข่าวทหารอากาศไม่ใช่หนังสือสำคัญในราชการ จำเลยจึงมีความผิดตามมาตรา 224 ไม่ใช่ 225
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 224 แต่โทษที่ศาลล่างวางมาสมควรกับความผิดแล้วจึงคงไว้ตามเดิม นอกจากนี้ยืน