แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 กับพวกอีก 1 คน ทำการปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย แต่ข้อเท็จจริงฟังได้เพียงว่าผู้เสียหายถูกจำเลยที่ 1 กับ ห. ทำร้ายจนสลบแล้วบุคคลทั้งสองเอาเงินไป อันเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นผู้จ้างจำเลยที่ 1กับ ห. และช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการกระทำผิดโดยการเรียกผู้เสียหายให้กลับบ้านแต่โจทก์มิได้ฟ้องจำเลยที่ 2ฐานเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด คงลงโทษจำเลยที่ 2 ได้ในฐานะเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ความผิดดังกล่าวอยู่ในส่วนลักษณะคดี จึงมีผลปรับบทลงโทษถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งมิได้อุทธรณ์ฎีกาด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกับพวกที่หลบหนีอีก 1 คน ร่วมกันปล้นทรัพย์ของนายสมจิตร พิสัยกุล ไปโดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 วรรคหนึ่ง วรรคสี่, 83 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 14 ขอให้คืนของกลางบางส่วนแก่ผู้เสียหาย นอกนั้นให้ริบ
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ
จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคแรก วางโทษจำคุก 10 ปี จำเลยที่ 1ให้การรับสารภาพ จำเลยที่ 2 ให้การชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้จำเลยที่ 1 กึ่งหนึ่ง จำเลยที่ 2 หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 5 ปี จำเลยที่ 2 มีกำหนด 6 ปี 8 เดือนคืนเงินสด 2,000 บาท ของกลางแก่ผู้เสียหาย และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้เงินที่ยังไม่ได้คืน 1,370 บาทแก่ผู้เสียหายริบเชือกของกลาง
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 2 เป็นคนร้ายรายนี้ด้วยแต่มิได้เป็นตัวการในการกระทำความผิด โดยเป็นเพียงผู้จ้างจำเลยที่ 1 กับนายหัดและช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการกระทำความผิด และวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ผู้เสียหายถูกจำเลยที่ 1 กับนายหัดทำร้ายจนสลบแล้วบุคคลทั้งสองเอาเงินไป อันเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นผู้จ้างจำเลยที่ 1 กับนายหัดและช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการกระทำความผิดโดยการเรียกผู้เสียหายให้กลับบ้าน แต่โจทก์มิได้ฟ้องจำเลยที่ 2 ฐานเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด คงลงโทษจำเลยที่ 2 ได้ในฐานะเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ ความผิดดังกล่าวเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี จึงให้มีผลปรับบทลงโทษถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งมิได้อุทธรณ์ฎีกาด้วยที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2 ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า นายเส่น อุปชัย จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 14 นางนงคราญ สุนันทะนาม จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 14 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 วางโทษจำคุก 6 ปี 8 เดือน คำให้การชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 4 ปี 5 เดือน 10 วัน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์