คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 864/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยตกลงกันในระหว่างการพิจารณาในคดีที่พิพาทกันเรื่องมรดกว่าโจทก์จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องเก็บผลประโยชน์จากทรัพย์สินกองมรดกยอมให้จำเลยที่ 1 เก็บและจัดการไปฝ่ายเดียวจนกว่าคดีจะถึงที่สุดถ้าจำเลยแพ้คดีและต้องส่งเงินผลประโยชน์ให้กองมรดกแล้วจำเลยไม่มีส่งก็ให้ศาลบังคับเอาจากผู้ค้ำประกันได้ในวงเงินสองแสนบาทนั้นข้อตกลงดังกล่าวนี้ไม่กินความไปถึงว่าให้จำเลยมีอำนาจให้บุคคลอื่นเช่าที่ดินกองมรดกปลูกสร้างอาคารเพิ่มเติมขึ้นอีกเพราะคำว่าให้จำเลยเก็บผลประโยชน์และจัดการไปฝ่ายเดียวนั้นหมายความเฉพาะเรื่องให้จำเลยเก็บเงินผลประโยชน์จากทรัพย์สินของกองมรดกในระหว่างคดีเป็นการชั่วคราวเท่านั้น
โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งอ้างว่าจำเลยมิได้ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลซึ่งอนุญาตให้จำเลยเพียงเป็นผู้เก็บค่าเช่าแต่กลับให้บุคคลอื่นเช่าที่ดินมรดกปลูกสร้างอาคารเพิ่มเติมขึ้นภายหลัง แล้วเก็บเงินค่าเช่าและเงินกินเปล่าเป็นประโยชน์ส่วนตัวเสียเองฝ่ายจำเลยแถลงว่าจำเลยให้บุคคลเช่าที่ดินปลูกสร้างอาคารนั้นเพื่อให้เกิดผลประโยชน์เท่าที่ควรได้ตามข้อตกลงนั้นแล้วเช่นนี้เมื่อศาลมีคำสั่งในเรื่องนี้อย่างใด ถือว่าคำสั่งนี้เป็นคำสั่งอันเกี่ยวด้วยคำขอเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของคู่ความในระหว่างการพิจารณา และเพื่อบังคับคดีตามคำพิพากษาด้วยคำสั่งของศาลดังกล่าวนี้คู่ความย่อมอุทธรณ์ฎีกาได้ภายในกำหนด 1 เดือน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 228 วรรคสอง

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือพินัยกรรมของจำเลยและขอให้ศาลแสดงว่าหนังสือพินัยกรรมที่ตั้งให้โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกเป็นฉบับที่แท้จริงและชอบด้วยกฎหมาย

ในระหว่างการพิจารณาของศาลแพ่งโจทก์และจำเลยได้ตกลงกันว่าโจทก์จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องเก็บผลประโยชน์จากทรัพย์สินกองมรดกยอมให้จำเลยที่ 1 เก็บและจัดการไปฝ่ายเดียวจนกว่าคดีจะถึงที่สุดถ้าจำเลยแพ้คดี และต้องส่งเงินผลประโยชน์ให้กองมรดกแล้ว จำเลยไม่มีส่ง ก็ให้ศาลบังคับเอาจากผู้ค้ำประกันได้ในวงเงินสองแสนบาทโดยนายจำนงค์ หุตานนท์ เป็นผู้ค้ำประกันตามสัญญาค้ำประกันที่นายจำนงค์ หุตานนท์ ได้ทำให้ไว้ต่อศาลแพ่ง ลงวันที่ 19 ตุลาคม 2494 และโจทก์จำเลยก็ได้ลงลายมือชื่อในสัญญาค้ำประกันนี้ไว้ด้วย

ครั้นต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งว่า จำเลยมิได้ปฏิบัติตามคำสั่งของศาล ซึ่งอนุญาตให้แต่เพียงเป็นผู้เก็บค่าเช่า แต่กลับให้บุคคลอื่นเช่าที่ดินในบ้านสุภาพ (ที่ดินมรดก) ปลูกสร้างอาคารเพิ่มเติมขึ้นภายหลัง แล้วเก็บเอาเงินค่าเช่าและเงินกินเปล่าเป็นประโยชน์ส่วนตัวเสียเอง หากคดีถึงที่สุดโจทก์เป็นฝ่ายชนะจะทำให้เกิดความยุ่งยากแก่การบังคับคดี จึงขอให้ศาลห้ามจำเลยมิให้ปฏิบัติเกินขอบเขตของคำสั่งศาล หากจำเลยไม่เชื่อฟัง ขอให้เพิกถอนสิทธิเก็บค่าเช่าเสีย แล้วสั่งให้โจทก์เก็บส่งศาลรักษาไว้ต่อไปจนกว่าคดีจะถึงที่สุดจำเลยที่ 1 แถลงรับตามรายงานพิจารณาของศาลแพ่งลงวันที่ 3 กันยายน 2495 ว่า จำเลยได้จัดการให้บุคคลเช่าที่ดินปลูกสร้างอาคารนั้นเพื่อจะให้เกิดผลประโยชน์และจัดการไปฝ่ายเดียวนั้นหมายความว่า จำเลยมีหน้าที่จะต้องจัดการให้กองมรดกได้ผลประโยชน์เต็มตามที่ควรจะได้

ศาลแพ่งมีคำสั่งลงวันที่ 5 กันยายน 2495 ห้ามมิให้จำเลยให้บุคคลอื่นเช่าที่ดินกองมรดกของผู้ตายเพื่อปลูกสร้างอาคารขึ้นอีกตั้งแต่วันที่ 5 กันยายน 2495 อันเป็นวันที่มีคำสั่งเป็นต้นไป

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่ง

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งห้ามจำเลยให้คนอื่นเช่านั้นเสีย และให้ยกคำร้องลงวันที่ 7 สิงหาคม 2495 ของโจทก์

โจทก์ฎีกาต่อมา

ศาลฎีกาได้ฟังคำแถลงการณ์และประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงเป็นอันฟังได้ตามคำแถลงรับของจำเลยว่า หลังจากที่ได้ตกลงกันต่อศาลแล้ว ต่อมาจำเลยได้ให้บุคคลอื่นเช่าที่ดินกองมรดกปลูกสร้างอาคารเพิ่มเติมขึ้นอีก ปัญหามีว่า การที่จำเลยให้บุคคลเช่าที่ดินกองมรดกปลูกสร้างอาคารเพิ่มเติมขึ้นอีกนั้น จำเลยมีอำนาจทำได้หรือไม่การที่จะวินิจฉัยความข้อนี้ ก็ต้องพิจารณาข้อตกลงของคู่ความตามรายงานพิจารณาของศาล ลงวันที่ 17 กันยายน 2494 ซึ่งศาลรับรู้และอนุมัติให้เป็นไปตามนั้น คำว่าให้จำเลยที่ 1 เก็บผลประโยชน์และจัดการไปฝ่ายเดียวตามข้อตกลงนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า หมายความเฉพาะแต่เรื่องให้จำเลยที่ 1 เก็บเงินผลประโยชน์จากทรัพย์สินของกองมรดกในระหว่างคดีเป็นการชั่วคราวเท่านั้น ทั้งผู้ค้ำประกันก็ค้ำประกันเงินผลประโยชน์ที่จำเลยที่ 1 จะเก็บโดยจำกัดจำนวนความรับผิด หาได้ค้ำประกันถึงการที่จำเลยที่ 1 จะจัดการหาผลประโยชน์เพิ่มขึ้นด้วยไม่ ทั้งสาเหตุที่จะเกิดมีข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยที่ 1 ก็เนื่องจากโจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลว่า จำเลยเก็บเอาผลประโยชน์จากทรัพย์สินกองมรดกไปเป็นประโยชน์ส่วนตนเสีย ไม่ได้เก็บไว้เป็นกองกลาง จึงเห็นความมุ่งหมายได้ชัดว่าไม่ใช่ให้จำเลยมีอำนาจจัดการให้ใคร ๆ เช่าที่ดินของกองมรดกเป็นการเพิ่มข้อผูกพันแก่กองทรัพย์มรดกขึ้นอีก เพราะถ้าข้อตกลงดังกล่าวกินความถึงให้อำนาจจำเลยที่ 1 ให้เช่าที่ดินกองมรดกได้ด้วย ทายาทผู้จะได้รับทรัพย์นั้น ๆ จำต้องรับข้อผูกพันตามข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยที่ 1 เรื่องให้จำเลยที่ 1 เก็บผลประโยชน์จากทรัพย์สินกองมรดกและจัดการไปฝ่ายเดียว ตามรายงานพิจารณาของศาลแพ่ง ลงวันที่ 17 กันยายน2494 และสัญญาค้ำประกันลงวันที่ 19 ตุลาคม 2494 นั้น ไม่กินความถึงว่าจำเลยที่ 1 มีอำนาจให้เช่าที่ดินกองมรดกเพิ่มขึ้นอีกด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น

เหตุนี้ จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำสั่งของศาลแพ่ง ลงวันที่ 5 กันยายน 2495

Share