คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5878/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นสั่งให้ผู้ค้ำประกันหาหลักประกันมาวางเพิ่มขึ้นอีก70,000 บาท ผู้ค้ำประกันได้นำ น.ส.3 ก. มาวางศาลเมื่อวันที่7 กรกฎาคม 2530 แต่ต่อมาวันที่ 13 กรกฎาคม 2530 ผู้ค้ำประกันยอมทำสัญญาค้ำประกันต่อศาลชั้นต้นระบุว่า หากจำเลยทั้งสองแพ้คดีโจทก์และไม่นำเงินมาชำระให้ตามคำพิพากษาเป็นจำนวนทั้งสิ้นเท่าใด ผู้ค้ำประกันยอมให้บังคับคดีเอาจากหลักทรัพย์ที่ผู้ค้ำประกันได้นำมาวางไว้เป็นประกันต่อศาล และเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2531ผู้ค้ำประกันได้ยื่นคำร้องขอถอนหลักทรัพย์คืน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้คืนได้โดยให้วางเงินเท่าจำนวนหลักทรัพย์จำนวน 123,574.50 บาทซึ่งผู้ค้ำประกันก็ยินยอมปฏิบัติตาม ตามพฤติการณ์ที่แสดงออกของผู้ค้ำประกันทั้งสองครั้งแสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า ผู้ร้องได้สละสิทธิและเปลี่ยนเจตนาที่จะยอมผูกพันเพียงเท่าจำนวนเงินที่นำมาวางตามคำสั่งศาลชั้นต้นในตอนแรก แต่ยอมผูกพันรับผิดชอบในหนี้ทั้งหมดที่จำเลยทั้งสองจะต้องชำระตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์.

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ จำเลยทั้งสองขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้แก่โจทก์เป็นเงิน 418,844.07 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมหากไม่ชำระให้บังคับจำนองที่ดินมีโฉนดพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ถ้าได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้บังคับเอาจากทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองในชั้นร้องขอพิจารณาใหม่ศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ทุเลาการบังคับโดยให้จำเลยหาประกันมาให้พอชำระต้นเงินและดอกเบี้ยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมีกำหนด 4 ปี ศาลชั้นต้นได้พิจารณาทรัพย์สินที่จำนองแล้ว เห็นว่า ไม่เพียงพอที่จะเป็นหลักประกัน จึงได้มีคำสั่งให้จำเลยหาหลักประกันเพิ่มในวงเงิน 70,000 บาท ผู้ค้ำประกันได้นำ น.ส.3 ก. ราคาประเมิน 123,574.50 บาท มาวางไว้เป็นประกันต่อศาลชั้นต้น ต่อมาผู้ค้ำประกันหลักทรัพย์โดยนำเงินสดเท่ากับจำนวนราคาประเมินของที่ดินมาวางไว้ต่อศาลแทน เมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษาให้ยกคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยทั้งสอง ผู้ค้ำประกันจึงได้ยื่นคำร้องขอรับเงินสดส่วนเกินวงเงิน 70,000 บาท ที่วางไว้ต่อศาลชั้นต้นแทนหลักทรัพย์คืน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ค้ำประกันอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ค้ำประกันฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นว่า แม้ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 5 มิถุนายน 2530 จะสั่งให้ผู้ค้ำประกันหาหลักประกันมาวางเพิ่มขึ้นอีก 70,000 บาท และผู้ค้ำประกันก็ได้นำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 314 ตำบลน้ำพุอำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี มาวางศาล เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม2530 ก็ตามแต่ต่อมาเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2530 ผู้ค้ำประกันก็ได้ยอมทำสัญญาค้ำประกันต่อศาลชั้นต้นระบุว่า หากจำเลยทั้งสองแพ้คดีโจทก์และไม่นำเงินมาชำระให้ตามคำพิพากษาเป็นจำนวนทั้งสิ้นเท่าใด ผู้ค้ำประกันยอมให้บังคับคดีเอาจากหลักทรัพย์ที่ผู้ค้ำประกันได้นำมาวางไว้เป็นประกันต่อศาล และเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2531ผู้ค้ำประกันได้ยื่นคำร้องขอถอนหลักทรัพย์คืน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้คืนได้โดยให้วางเงินเท่าจำนวนหลักทรัพย์จำนวน 123,574.50 บาทซึ่งผู้ค้ำประกันก็ยินยอมปฏิบัติตาม ตามพฤติการณ์ที่แสดงออกของผู้ค้ำประกันทั้งสองครั้งแสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่าผู้ร้องได้สละสิทธิ์ และเปลี่ยนเจตนาที่จะยอมผูกพันเพียงเท่าจำนวนเงินที่นำมาวางตามคำสั่งศาลชั้นต้นในตอนแรก แต่ยอมผูกพันรับผิดชอบในหนี้ทั้งหมดที่จำเลยทั้งสองจะต้องชำระตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์ดังนั้น ข้ออ้างของผู้ค้ำประกันที่ว่ามีความผูกพันตามสัญญาค้ำประกันเพียง 70,000 บาท จึงฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share