คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12613/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 กับพวก แอบดักซุ่มทำร้ายผู้ตายกับพวก หลังจากมีเหตุวิวาทชกต่อยกันแล้ว โดยได้ความจากคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 กับพวกบางคนมีมีดเป็นอาวุธ ส่วนคนร้ายที่ไม่มีมีด ก็ตัดต้นไม้ยูคาลิปตัสข้างทางเป็นท่อน ๆ ใช้เป็นอาวุธ เมื่อผู้ตายกับพวกขับรถจักรยานยนต์ผ่านมา จำเลยที่ 1 และที่ 3 กับพวกก็วิ่งกรูกันออกมาทำร้าย โดยมิได้เลือกว่าจะทำร้ายบุคคลใดเป็นเฉพาะเจาะจง ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3 กับพวกคิดใคร่ครวญวางแผนตกลงที่จะทำร้ายผู้ตายกับพวก โดยประสงค์ถือเอาการกระทำของแต่ละคนเป็นการกระทำของตน ถือได้ว่าเป็นการร่วมกระทำความผิดด้วยกันนับเป็นตัวการ ดังนี้ แม้ไม่ได้ความว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3 เป็นผู้ฟันทำร้ายผู้ตาย แต่เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 3 เป็นตัวการแล้ว นอกจากจำเลยที่ 1 และที่ 3 จะมีความผิดฐานร่วมกันพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร และมีความผิดฐานร่วมกันเป็นซ่องโจรแล้ว จำเลยที่ 1 และที่ 3 ยังมีความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน แต่ความผิดฐานร่วมกันเป็นซ่องโจรกับความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเกี่ยวเนื่องกัน เพราะที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 กระทำผิดฐานร่วมกันเป็นซ่องโจรเพื่อที่จะไปทำร้ายผู้ตายกับพวก จึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท
เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 4 ยกคำขอส่วนแพ่งที่ขอให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนของโจทก์ร่วม แม้โจทก์จะฎีกาในคดีส่วนอาญา แต่โจทก์ร่วมมิได้ฎีกาในคดีส่วนแพ่ง เท่ากับโจทก์ร่วมพอใจในคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 4 คดีส่วนแพ่งของโจทก์ร่วมจึงเป็นอันยุติไป ศาลฎีกาไม่อาจพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ร่วมได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้ง 13 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 210, 288, 289 (4), 371 ริบของกลาง
จำเลยทั้งสิบสามให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นางอาน่อง ภริยานายใสย ผู้ตายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต (ที่ถูก เฉพาะข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่น) และยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสิบสามร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 400,680 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันยื่นคำร้องขอเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 8 ถึงที่ 12 ไม่ให้การในคดีส่วนแพ่ง
จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 ถึงที่ 7 และที่ 13 ให้การในคดีส่วนแพ่งขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 288, 289 (4), 210 วรรคสอง, 371 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนลงโทษประหารชีวิต ขณะกระทำความผิดจำเลยที่ 1 และที่ 3 มีอายุกว่า 17 ปี แต่ยังไม่เกิน 20 ปี ลดโทษ (ที่ถูก ลดมาตราส่วนโทษ) ให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 และ 52 (1) เป็นจำคุกตลอดชีวิต จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและให้การภาคเสธในชั้นสอบสวน และจำเลยที่ 3 ให้การภาคเสธในชั้นสอบสวนเป็นการลุแก่โทษต่อเจ้าพนักงานเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 โดยเปลี่ยนโทษจำคุกตลอดชีวิตเป็นจำคุก 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 53 คงจำคุกคนละ 33 ปี 4 เดือน ความผิดฐานเป็นซ่องโจร ขณะกระทำความผิดจำเลยที่ 1 และที่ 3 มีอายุกว่า 17 ปี แต่ยังไม่เกิน 20 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ให้จำคุกคนละ 1 ปี 6 เดือน จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและให้การภาคเสธในชั้นสอบสวนและจำเลยที่ 3 ให้การภาคเสธในชั้นสอบสวนเป็นการลุแก่โทษต่อเจ้าพนักงานและเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 1 ปี ความผิดฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรขณะกระทำความผิดจำเลยที่ 1 และที่ 3 มีอายุกว่า 17 ปี แต่ยังไม่เกิน 20 ปี ลดมาตราส่วนโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ให้ปรับคนละ 50 บาท จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและให้การภาคเสธในชั้นสอบสวนและจำเลยที่ 3 ให้การภาคเสธในชั้นสอบสวนเป็นการลุแก่โทษต่อเจ้าพนักงานและเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับคนละ 33.33 บาท รวมจำคุกคนละ 34 ปี 4 เดือน และปรับคนละ 33.33 บาท หากจำเลยคนใดไม่ชำระค่าปรับให้บังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 ริบของกลาง ให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมเป็นเงิน 350,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันยื่นคำร้อง (วันที่ 11 มีนาคม 2551) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วม คำขออื่นอันเกี่ยวด้วยค่าสินไหมทดแทนนอกจากนี้ให้ยกและให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 13
จำเลยที่ 1 และที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1และที่ 3 ให้ยกคำร้องของโจทก์ร่วมที่ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วม นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติโดยคู่ความมิได้โต้แย้งในชั้นนี้ว่า เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2550 เวลาประมาณ 23 นาฬิกา นายปิยชัยหรือเอ็ดดี้ นายพงษ์ศักดิ์หรือเอ็ก นายยตตะพรหรือจอห์น นายมานพหรือนพ นายบุญมีหรือกบ และนายใสย ผู้ตาย กับพวก มีเรื่องวิวาทชกต่อยกับกลุ่มวัยรุ่นบ้านคำแมดขณะชมการแสดงหมอลำที่วัดบ้านดอนเขียง ตำบลคำแมด กิ่งอำเภอซำสูง จังหวัดขอนแก่น แล้วมีผู้มาห้ามปรามจึงเลิกแล้วต่อกัน ครั้นเวลา 2.30 นาฬิกา ของวันที่ 18 มีนาคม 2550 ผู้ตายกับพวกก็พากันเดินทางกลับโดยขับรถจักรยานยนต์ตามกันมาตามถนนสายดอนเขียง – วังโพน โดยผู้ตายนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์คันที่นายปิยชัยเป็นผู้ขับ เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุมีกลุ่มคนร้าย 10 กว่าคน วิ่งกรูกันออกมาจากป่าสองข้างทางโดยมีท่อนไม้ยูคาลิปตัสและมีดเป็นอาวุธตีและฟันทำร้ายผู้ตายกับพวก พวกผู้ตายพากันขับรถจักรยานยนต์หลบหนีไปได้ แต่ขณะนายปิยชัยพยายามขับรถจักรยานยนต์หลบหนี รถจักรยานยนต์คันที่นายปิยชัยขับไปเกี่ยวกับรถจักรยานยนต์คันที่นายบุญมีขับมีนายมานพนั่งซ้อนท้าย เป็นเหตุให้รถจักรยานยนต์ที่นายปิยชัยขับล้มลง นายปิยชัยรีบลุกขึ้นวิ่งหลบหนีเข้าไปในป่าข้างทาง แต่ผู้ตายหลบหนีไม่ทันเพราะถูกรถจักรยานยนต์ทับขาไว้ แล้วคนร้ายร่วมกันใช้ไม้และมีดตีและฟันทำร้ายผู้ตายจนถึงแก่ความตาย โดยผู้ตายมีบาดแผลฉีกขาดขอบเรียบด้านหลังศีรษะ แนวขวางยาว 7 เซนติเมตร ลึกถึงกะโหลกศีรษะ ขากรรไกรล่างด้านซ้ายตลอดแนวยาว 10 เซนติเมตร ลึกถึงกระดูก ทำให้ขากรรไกรล่างหัก ด้านหน้าลำคอเยื้องทางขวายาว 6 เซนติเมตร ลักษณะเป็นแผ่น ลึกถึงไขมัน ด้านหน้าลำคอแนวขวางยาว 15 เซนติเมตร และ 8 เซนติเมตร อยู่ใกล้ๆ กัน ระดับลูกกระเดือก ตัดหลอดลมคอและหลอดเลือดแดงคอขาด ท้องน้อยข้างซ้ายยาว 7 เซนติเมตร ลึกถึงไขมัน ด้านหน้าข้อมือขวา 3 แห่ง บริเวณใกล้เคียงกัน ยาว 3 4 และ 5 เซนติเมตร ลึกถึงหนังแท้ กับบาดแผลช้ำถลอกที่ขมับขวาถึงหน้าผาก บาดแผลช้ำเขียวที่เบ้าตาซ้ายและรอยช้ำลักษณะคล้ายพื้นรองเท้า บาดแผลช้ำบวมที่ริมฝีปากส่วนบน และบาดแผลครูดถลอกที่ด้านหลังปลายแขนขวาและด้านหน้าเข่าซ้าย ตามรายงานการตรวจศพ เจ้าพนักงานตำรวจตรวจยึดมีดทำครัว 2 เล่ม และท่อนไม้ยูคาลิปตัส 8 ท่อน ที่คนร้ายใช้ในการกระทำความผิดได้จากที่เกิดเหตุ เป็นของกลาง แล้วกล่าวหาจำเลยทั้งสิบสามว่าเป็นคนร้ายคดีนี้ แต่คดีสำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 13 เป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่พิพากษายกฟ้องแล้วโจทก์และโจทก์ร่วมไม่อุทธรณ์ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เพียงว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 เป็นคนร้ายร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ พยานฐานที่อยู่ของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ไม่อาจฟังหักล้างพยานหลักฐานโจทก์และโจทก์ร่วมได้ พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 กับพวก แอบดักซุ่มทำร้ายผู้ตายกับพวก หลังจากมีเหตุวิวาทชกต่อยกันแล้ว โดยได้ความจากคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 กับพวกบางคนมีมีดเป็นอาวุธ ส่วนคนร้ายที่ไม่มีมีด ก็ตัดต้นไม้ยูคาลิปตัสข้างทางเป็นท่อนๆ ใช้เป็นอาวุธ เมื่อผู้ตายกับพวกขับรถจักรยานยนต์ผ่านมา จำเลยที่ 1 และที่ 3 กับพวกก็วิ่งกรูกันออกมาทำร้าย โดยมิได้เลือกว่าจะทำร้ายบุคคลใดเป็นเฉพาะเจาะจง ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3 กับพวกคิดใคร่ครวญวางแผนตกลงที่จะทำร้ายผู้ตายกับพวก โดยประสงค์ถือเอาการกระทำของแต่ละคนเป็นการกระทำของตนด้วย ซึ่งเมื่อพิจารณาทั้งในส่วนของการกระทำและเจตนาของจำเลยที่ 1 และที่ 3 แล้ว ถือได้ว่าเป็นการร่วมกระทำความผิดด้วยกันนับเป็นตัวการ ดังนี้ แม้ไม่ได้ความว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3 เป็นผู้ฟันทำร้ายผู้ตาย แต่เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 3 เป็นตัวการแล้ว นอกจากจำเลยที่ 1 และที่ 3 จะมีความผิดฐานร่วมกันพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร และมีความผิดฐานร่วมกันเป็นซ่องโจรแล้ว จำเลยที่ 1 และที่ 3 ยังมีความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายกฟ้องมานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น แต่โดยเหตุที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 กับพวก วางแผนมาดักซุ่มทำร้ายผู้ตายกับพวกหลังเกิดเหตุวิวาทชกต่อยกันขณะชมการแสดงหมอลำเมื่อเวลาประมาณ 23 นาฬิกา และเหตุคดีนี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 2.30 นาฬิกา ของวันรุ่งขึ้น อันเป็นเวลาต่อเนื่องกัน การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 3 จึงเป็นการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกัน เพราะที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 กระทำผิดฐานร่วมกันเป็นซ่องโจร ก็เพื่อที่จะไปทำร้ายผู้ตายกับพวก การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 3 จึงเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท นอกจากนี้แม้ศาลฎีกาจะฟังว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3 กระทำผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน อันเป็นการทำละเมิด ซึ่งโจทก์ร่วมได้มีคำขอให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนด้วยแล้วก็ตาม แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 3 และยกคำขอส่วนแพ่งที่ขอให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนของโจทก์ร่วม แม้โจทก์จะฎีกาในคดีส่วนอาญาเป็นคดีนี้ แต่โจทก์ร่วมก็มิได้ฎีกาในคดีส่วนแพ่ง เท่ากับโจทก์ร่วมพอใจในคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 4 คดีส่วนแพ่งของโจทก์ร่วมจึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ศาลฎีกาไม่อาจพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ร่วมได้
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 210 วรรคสอง, 289 (4) และ 371 ประกอบมาตรา 83 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ขณะกระทำความผิดจำเลยที่ 1 มีอายุ 18 ปีเศษ และจำเลยที่ 3 มีอายุ 19 ปีเศษ เห็นสมควรลดมาตราส่วนโทษให้กระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 (เดิม) ประกอบมาตรา 52 (1) ฐานร่วมกันเป็นซ่องโจรและฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละตลอดชีวิต และลงโทษฐานร่วมกันพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร ปรับคนละ 45 บาท ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จำคุกคนละ 33 ปี 4 เดือน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 53 และลงโทษฐานร่วมกันพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร ปรับคนละ 30 บาท รวมจำคุกคนละ 33 ปี 4 เดือน และปรับคนละ 30 บาท หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4

Share