แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
เมื่อโจทก์นำพยานเข้าสืบฟังได้ว่าจำเลยต้องข้อสันนิษฐานว่ามีหนี้สินล้นพ้นตัวแล้วก็เป็นหน้าที่ของจำเลยจะต้องนำพยานมาสืบหักล้างข้อสันนิษฐาน เมื่อจำเลยไม่ยื่นคำให้การและยังขาดนัดพิจารณาอีกด้วย จึงต้องฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวแล้ว ข้อเท็จจริงที่ว่าโจทก์ปล่อยปละละเลยไม่ดำเนินการบังคับคดี เมื่อระยะเวลาในการบังคับคดีใกล้จะสิ้นสุดจึงมาฟ้องคดี ทำให้มีการคำนวณดอกเบี้ยเรื่อยมาและเป็นจำนวนมากนั้น เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายและเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริต จะถือเป็นกรณีที่มีเหตุไม่ควรให้จำเลยล้มละลายหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยและนายสัญญา ภุมรินทร์ เป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลจังหวัดนครราชสีมาในคดีหมายเลขแดงที่ 1611/2530 จำเลยและนายสัญญาไม่ชำระ โจทก์ขอศาลออกหมายบังคับคดียึดที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 9214 ตำบลนางรอง อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมสิ่งปลูกสร้างของนายสัญญาที่จำนองไว้แก่โจทก์ออกขายทอดตลาดเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม2531 ได้เงิน 1,020,000 บาท แบ่งเฉลี่ยทรัพย์ให้โจทก์แล้วแต่ยังได้รับเงินไม่ครบ โดยจำเลยคงค้างชำระหนี้ตามคำพิพากษาทั้งสามคดีถึงวันฟ้องเป็นต้นเงิน 471,608.76 บาท ดอกเบี้ย 597,482.92 บาท รวมเป็นเงิน1,069,091.68 บาท จำเลยไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้ที่เหลือได้ จึงเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวขอให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยไม่ยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าจำเลยและนายสัญญา ภุมรินทร์ เป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 1611/2530 เป็นเงิน 262,577.93 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปี คดีหมายเลขแดงที่ 1623/2530 เป็นเงิน 431,203.62บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปี และคดีหมายเลขแดงที่ 1642/2530เป็นเงิน 533,748.22 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปี โจทก์นำยึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 9214 ตำบลนางรองอำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ ที่นายสัญญาลูกหนี้ร่วมจำนองไว้แก่โจทก์ออกขายทอดตลาดได้เงิน 1,020,000 บาท โจทก์ขอเฉลี่ยทรัพย์แล้วได้เงินไม่ครบ จำเลยคงค้างชำระหนี้ตามคำพิพากษาทั้งสามคดีถึงวันฟ้องเป็นเงิน1,069,091.68 บาท ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวและมีเหตุไม่ควรให้จำเลยล้มละลายหรือไม่ โจทก์มีนายวิสุทธิ์ ตุงคะเสรีรักษ์ ซึ่งเป็นพนักงานสินเชื่อของโจทก์เบิกความว่าหลังจากที่บังคับคดีทรัพย์จำนองของลูกหนี้ร่วมได้เงินมาชำระหนี้แก่โจทก์บางส่วนแล้ว ได้ติดตามสืบหาทรัพย์สินของจำเลยเพื่อบังคับชำระหนี้แต่จำเลยไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้จึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวตามมาตรา 8(5) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 เมื่อโจทก์นำพยานเข้าสืบฟังได้ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของจำเลยจะต้องนำพยานมาสืบหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าจำเลยมีทรัพย์สินพอที่จะชำระหนี้แก่โจทก์ได้ทั้งหมดหรือมีเหตุที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย แต่จำเลยกลับไม่ยื่นคำให้การเพื่อแสดงว่าตนเองมีทรัพย์สินหรือมีเหตุที่ไม่ควรให้ล้มละลายและในชั้นพิจารณาจำเลยก็ยังขาดนัดพิจารณาอีกด้วย เมื่อจำเลยไม่ขวนขวายที่จะนำพยานมาสืบให้ศาลเห็นเป็นอย่างอื่น ศาลจึงต้องฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว และเมื่อไม่ปรากฏว่ามีเหตุที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย จึงต้องมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่าโจทก์ปล่อยปละละเลยไม่ดำเนินการบังคับคดี เมื่อระยะเวลาในการบังคับคดีใกล้จะสิ้นสุดจึงมาฟ้องเป็นคดีนี้ทำให้มีการคำนวณดอกเบี้ยเรื่อยมาและเป็นจำนวนมาก กรณีมีเหตุไม่ควรให้จำเลยล้มละลายนั้น เห็นว่าโจทก์สามารถที่จะใช้สิทธิได้ตามกฎหมายและเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริต”
พิพากษากลับให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14