แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่โจทก์แถลงขอแก้ไขคำฟ้องเกี่ยวกับชื่อจำเลยก็เนื่องมาจากจำเลยยื่นคำให้การระบุชื่อจำเลยแทนชื่อบริษัทที่โจทก์ฟ้อง ทั้งจำเลยก็มิได้ให้การปฏิเสธว่าโจทก์ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลย คงต่อสู้ว่าจำเลยมิได้เลิกจ้างโจทก์ กรณีมิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องจำเลยผิดตัว เพียงแต่ระบุชื่อจำเลยผิดเท่านั้น
การที่โจทก์แถลงขอแก้ไขชื่อจำเลยให้ตรงกับความเป็นจริงถือว่าเป็นการแก้ไขข้อผิดหลงเล็กน้อย โจทก์สามารถแถลงขอให้แก้ไขได้ทันที การที่ศาลแรงงานอนุญาตให้แก้ไขจึงไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31
การอ้างและการยื่นบัญชีระบุพยานของคู่ความในคดีแรงงานมีบัญญัติไว้โดยเฉพาะตามมาตรา 44 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522แล้ว จึงนำบทบัญญัติมาตรา 88 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับไม่ได้ นอกจากนี้เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมในอันที่จะให้ได้ความแจ้งชัดในข้อเท็จจริงแห่งคดี พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 45 วรรคหนึ่ง ยังให้อำนาจศาลแรงงานสามารถเรียกพยานหลักฐานมาสืบได้เองตามที่เห็นสมควร
แม้โจทก์จะอ้างตนเองและนำ ย. เข้าเบิกความต่อศาลแรงงานโดยมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานไว้ แต่ศาลแรงงานก็อนุญาตให้โจทก์และ ย. เข้าเบิกความเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมให้ได้ความชัดแจ้งในข้อเท็จจริงแห่งคดี ศาลแรงงานจึงชอบที่จะรับฟังพยานของโจทก์ดังกล่าวได้
โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยเลิกจ้างโดยโจทก์มิได้กระทำผิด จำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโดยอ้างว่าโจทก์ลาออกจากงานเอง การที่ศาลแรงงานฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ มิใช่โจทก์ลาออกเองตามที่จำเลยให้การต่อสู้ แล้ววินิจฉัยต่อไปว่าเมื่อจำเลยมิได้ให้การว่าโจทก์กระทำผิด ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์มิได้กระทำผิดนั้น จึงเป็นการวินิจฉัยที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84,177 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 แล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2538 จำเลยว่าจ้างโจทก์เป็นลูกจ้าง ทำหน้าที่ปรุงอาหารที่ร้านฟลามิงโก้จ่ายค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 28,000 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 1 ของเดือน ต่อมาวันที่ 13 มิถุนายน 2542 จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์มิได้กระทำความผิด และยังค้างจ่ายค่าจ้างเดือนมิถุนายน 2542 เป็นเงิน 11,196 บาท ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าจ้างค้างจ่ายเป็นเงิน 11,196 บาท ค่าชดเชยเป็นเงิน 168,000 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นเงิน 44,784 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย
จำเลยให้การว่า จำเลยมิได้เลิกจ้างโจทก์ โจทก์ลาออกจากงานเองโดยจำเลยยินยอมและตกลงให้มีผลตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2542 แต่โจทก์ทำงานถึงวันที่ 12 มิถุนายน 2542 ก็ไม่มาทำงานให้จำเลยอีกต่อไปจำเลยไม่ต้องจ่ายเงินตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2538จำเลยรับโจทก์เข้าทำงาน ตำแหน่งพ่อครัวทำพิซซ่าได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 28,000 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 1 ของเดือน เมื่อวันที่ 13มิถุนายน 2542 นายเคล้าส์ วอน อาเมลิน กรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยได้โทรศัพท์เรียกโจทก์ไปพบและบอกเลิกจ้างโจทก์ โจทก์ทำงานกับจำเลยมาได้ 3 ปีเศษ และพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าจ้างเป็นเงิน 11,196 บาทค่าชดเชยเป็นเงิน 168,000 บาท และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นเงิน 44,784 บาท แก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการแรกว่า การที่ศาลแรงงานกลางอนุญาตให้โจทก์แก้ไขชื่อจำเลยในคำฟ้องตามคำแถลงของโจทก์ชอบด้วยกระบวนพิจารณาหรือไม่จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์แถลงขอแก้ไขชื่อจำเลยจากบริษัทฟลามิงโก้ จำกัดตามที่ระบุในคำฟ้องเป็นบริษัท เค.เอ.วี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ในวันนัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยโดยมิได้ทำเป็นคำร้องยื่นต่อศาลก่อนวันชี้สองสถานหรือก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน การแก้ไขคำฟ้องของโจทก์มิใช่เป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดหรือข้อผิดหลงเล็กน้อย อีกทั้งมิใช่เป็นการแก้ไขเรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแต่ศาลแรงงานกลางกลับอนุญาตให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องอันเป็นการเปลี่ยนตัวจำเลย จึงเป็นคำสั่งที่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180 เห็นว่า เหตุที่โจทก์แถลงขอแก้ไขคำฟ้องเกี่ยวกับชื่อจำเลยนั้นก็เนื่องมาจากจำเลยยื่นคำให้การระบุชื่อจำเลยแทนชื่อบริษัทฟลามิงโก้ จำกัด ที่โจทก์ฟ้อง ทั้งจำเลยก็มิได้ให้การปฏิเสธว่าโจทก์ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลย คงต่อสู้ว่าจำเลยมิได้เลิกจ้างโจทก์ โจทก์ตรวจสอบแล้วเห็นว่าจำเลยเป็นเจ้าของร้านฟลามิงโก้และชื่อจำเลยตรงกับที่จำเลยให้การ จึงแถลงขอแก้ไขคำฟ้องเกี่ยวกับชื่อจำเลย กรณีจึงมิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องจำเลยผิดตัว เพียงแต่ระบุชื่อจำเลยผิดเท่านั้น และจำเลยก็มิได้หลงต่อสู้ในเรื่องนี้ การที่โจทก์แถลงขอแก้ไขชื่อจำเลยให้ตรงกับความเป็นจริงนั้น ถือว่าเป็นการแก้ไขข้อผิดหลงเล็กน้อย โจทก์สามารถแถลงขอให้แก้ไขได้ทันที การที่ศาลแรงงานกลางอนุญาตให้แก้ไขตามที่โจทก์แถลงจึงไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 180 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการที่สองว่าการที่ศาลแรงงานกลางรับฟังพยานโจทก์โดยโจทก์มิได้ยื่นบัญชีระบุพยานชอบหรือไม่ จำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์และนางยอดขวัญ ไชยงาม ภริยาโจทก์ได้เข้าเบิกความต่อศาลแรงงานกลางโดยมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานไว้เป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 88 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 44 ศาลแรงงานกลางต้องไม่รับฟังพยานของโจทก์ดังกล่าวและพิพากษายกฟ้อง เห็นว่า การอ้างและการยื่นบัญชีระบุพยานของคู่ความในคดีแรงงานมีบัญญัติไว้โดยเฉพาะตามมาตรา 44 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 แล้ว จึงนำบทบัญญัติมาตรา 88แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับไม่ได้ นอกจากนี้เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมในอันที่จะให้ได้ความแจ้งชัดในข้อเท็จจริงแห่งคดีพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 45 วรรคหนึ่ง ยังให้อำนาจศาลแรงงานสามารถเรียกพยานหลักฐานมาสืบได้เองตามที่เห็นสมควร คดีนี้แม้โจทก์จะอ้างตนเองและนำนางยอดขวัญเข้าเบิกความต่อศาลแรงงานกลางโดยมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานไว้ แต่ศาลแรงงานกลางก็อนุญาตให้โจทก์และนางยอดขวัญเข้าเบิกความ ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมให้ได้ความชัดแจ้งในข้อเท็จจริงแห่งคดีตามมาตรา 45 ดังกล่าว ศาลแรงงานกลางชอบที่จะรับฟังพยานของโจทก์ดังกล่าวได้
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการสุดท้ายว่า การที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์มิได้กระทำความผิดชอบด้วยกระบวนพิจารณาหรือไม่ จำเลยอุทธรณ์ว่าศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์มิได้กระทำผิดและไม่บอกกล่าวล่วงหน้าจำเลยมิได้ให้การต่อสู้จึงฟังเป็นยุติได้ตามฟ้องโจทก์ อันเป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบ เพราะจำเลยได้ยื่นคำให้การปฏิเสธโดยชัดแจ้งระบุถึงเหตุที่โจทก์ประสงค์จะลาออกจากงานเองแล้วนั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยเลิกจ้างโดยโจทก์มิได้กระทำผิด จำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโดยอ้างแต่เพียงว่าโจทก์ลาออกจากงานเอง ดังนี้ การที่ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ มิใช่โจทก์ลาออกเองตามที่จำเลยให้การต่อสู้ แล้ววินิจฉัยต่อไปว่าเมื่อจำเลยมิได้ให้การว่าโจทก์กระทำผิดข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์มิได้กระทำผิดนั้นจึงเป็นการวินิจฉัยที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84, 177 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 แล้ว
พิพากษายืน