คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5871/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้นำของเข้าจะต้องเสียเงินเพิ่มในอัตราร้อยละหนึ่งต่อเดือนของค่าอากรที่นำมาชำระโดยไม่คิดทบต้นนับแต่วันที่ได้ส่งมอบจนถึงวันที่นำเงินมาชำระตามมาตรา 112 จัตวา แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 ต่อเมื่อกรมศุลกากรโจทก์ได้ส่งมอบสินค้าให้แก่จำเลยผู้นำเข้านำสินค้าออกไปจากอารักขาของศุลกากรแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้ส่งมอบสินค้ารถยนต์ให้จำเลยนำออกไปจากอารักขาของศุลกากรแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเงินเพิ่มอากรขาเข้าในอัตราร้อยละหนึ่งต่อเดือนของค่าอากรที่จำเลยต้องนำมาชำระตามกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 มีอำนาจหน้าที่จัดเก็บภาษีอากรตามพระราชบัญญัติศุลกากรและตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง โจทก์ที่ 2 มีอำนาจหน้าที่จัดเก็บภาษีอากรตามประมวลรัษฎากรและตามกฎหมายอื่นที่กำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของโจทก์ที่ 2 นอกจากนี้โจทก์ที่ 1 ยังมีอำนาจหน้าที่จัดเก็บภาษีการค้า ภาษีบำรุงเทศบาล(ที่ถูกภาษีส่วนท้องถิ่น) แทนโจทก์ที่ 2 ตามที่ได้รับมอบหมายจากกระทรวงการคลังด้วย เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2532 จำเลยได้นำรถยนต์นั่งใช้แล้วยี่ห้อ เฟอรรารี รุ่น 308 จี ที บี บี 1976 ขนาด2926 ซี.ซี. พร้อมอุปกรณ์จำนวน 1 คัน ประเทศกำเนิดอิตาลีนำเข้าจากประเทศอังกฤษโดยทางเรือ เมื่อสินค้าดังกล่าวถูกนำเข้ามาถึงด่านท่าเรือกรุงเทพ จำเลยได้ยื่นใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ที่ 1โดยจำเลยสำแดงราคาสินค้า 39,134 บาท อากรขาเข้า 117,402บาท ภาษีการค้า 110,451 บาท ภาษีส่วนท้องถิ่น 11,045 บาทรวมภาษีอากร 238,898 บาท ต่อมาพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ที่ 1ได้ตรวจพบว่า จำเลยมิได้สำแดงเครื่องปรับอากาศ วิทยุพร้อมลำโพงกระจกมองข้างซ้ายขวาและสปอยเลอร์หน้าหลัง และเป็นรถยนต์รุ่น328 จี ที บี บี 1987 ถึง 1988 เป็นการสำแดงราคาต่ำกว่าราคาอันแท้จริงในท้องตลาด เป็นเหตุให้จำเลยเสียอากรขาเข้าภาษีการค้าและภาษีส่วนท้องถิ่นขาด รวมจำนวน 6,321,664 บาท พนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ที่ 1 จึงประเมินเรียกเก็บภาษีอากรที่จำเลยจะต้องชำระเพิ่มและแจ้งให้จำเลยทราบแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยไม่นำเงินค่าภาษีอากรไปชำระให้แก่โจทก์ทั้งสอง และมิได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมิน จำเลยจึงต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มอากรขาเข้าเงินเพิ่มภาษีการค้า และภาษีส่วนท้องถิ่น รวมภาษีอากรที่ต้องชำระเพิ่มจำนวน 16,443,706.02 บาท โจทก์ทั้งสองทวงถามให้จำเลยชำระแล้วแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าภาษีอากรดังกล่าวและเงินเพิ่มอากรขาเข้าในอัตราร้อยละหนึ่งต่อเดือนหรือเศษของเดือนจากจำนวนอากรขาเข้าที่จำเลยต้องชำระเพิ่มจำนวน 3,074,739 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง

จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 12,815,514 บาทให้แก่โจทก์ทั้งสอง คำขอนอกจากนี้ให้ยก

โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยเพียงประเด็นเดียวว่า โจทก์ที่ 1 มีสิทธิเรียกเงินเพิ่มอากรขาเข้าในอัตราร้อยละหนึ่งต่อเดือน ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 112 จัตวา จากจำเลยหรือไม่ เห็นว่า ผู้นำของเข้าจะต้องเสียเงินเพิ่มในอัตราร้อยละหนึ่งต่อเดือนของค่าอากรที่นำมาชำระโดยไม่คิดทบต้นนับแต่วันที่ได้ส่งมอบจนถึงวันที่นำเงินมาชำระตามมาตรา 112 จัตวา แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 ต่อเมื่อโจทก์ที่ 1 ได้ส่งมอบสินค้าให้แก่จำเลยผู้นำเข้านำสินค้าออกไปจากอารักขาของศุลกากรแล้ว โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์อ้างว่า ตามใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ที่ 1ได้บันทึกการตรวจปล่อยแล้ว จึงถือว่าเป็นไปตามข้อกฎหมายมาตรา 112 จัตวา ศาลฎีกาได้ตรวจพิจารณาใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าในช่องบันทึกการตรวจปล่อย ไม่มีข้อความใดแสดงให้เห็นว่าได้มีการตรวจปล่อยสินค้าตามใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าดังกล่าวให้แก่จำเลยรับไปแล้ว และโจทก์ทั้งสองก็ไม่ได้นำนายสุวิทย์ ผลสูงเนิน นายตรวจศุลกากรผู้บันทึกใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้ามาเบิกความยืนยันให้ฟังได้เป็นจริงเช่นนั้น กลับปรากฏจากคำเบิกความของเจ้าหน้าที่ประเมินอากรฝ่ายการนำเข้า 6 กองพิธีการของโจทก์ที่ 1 ว่า พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ประเมินอากรครั้งแรกตรวจพบว่าสินค้าที่นำเข้าคือรถยนต์มีสภาพใหม่ไม่น่าจะใช่รุ่นที่จำเลยระบุไว้ จึงทำการยึดและจับกุมในวันตรวจปล่อยนั้นเอง ซึ่งสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในหนังสือของกองพิธีการและประเมินอากรกรมศุลกากรที่ กค 0614(ก)/0039ลงวันที่ 3 มกราคม 2533 ที่ระบุว่ารถยนต์ดังกล่าวยังไม่ได้รับการตรวจปล่อยออกไปจากอารักขาของศุลกากร เนื่องจากมีปัญหาเกี่ยวกับรุ่นและปีผลิตของรถยนต์ว่าจะถูกต้องตรงตามที่จำเลยสำแดงหรือไม่ อย่างไร ข้อเท็จจริงจึงรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์ที่ 1 ได้ส่งมอบสินค้ารถยนต์ดังกล่าวให้จำเลยนำออกไปจากอารักขาของศุลกากรแล้วดังนั้น โจทก์ที่ 1 จึงไม่มีสิทธิเรียกเงินเพิ่มอากรขาเข้าในอัตราร้อยละหนึ่งต่อเดือนของค่าอากรที่จำเลยต้องนำมาชำระตามกฎหมาย

พิพากษายืน

Share