คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 623/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่ศาลจะส่งความเห็นว่าบทบัญญัติของกฎหมายขัด หรือแย้ง กับรัฐธรรมนูญไปให้ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มาตรา 264 วรรคหนึ่ง นั้น ต้องเป็นกรณีที่ คดียังอยู่ในระหว่างการพิจารณาพิพากษาของศาล จึงให้รอการพิจารณา พิพากษาคดีไว้ชั่วคราวหาใช่กรณีถึงที่สุดแล้วแต่อย่างใดไม่ เพราะหากคดีถึงที่สุด แล้วย่อมไม่มีประโยชน์ที่จะส่งคำร้องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอีกต่อไป เพราะแม้ส่งไปและศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ ก็ไม่อาจกระทบกระเทือนถึง คำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุดแล้วตามมาตรา 264 วรรคท้าย
คดีนี้ถึงที่สุดแล้วตามพระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ. 2472 แม้จำเลยจะร้องขอและอุทธรณ์ต่อศาลให้รื้อฟื้นคดีของจำเลยขึ้นมาพิจารณาใหม่ตามมาตรา 247 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฯ เพื่อเป็นข้ออ้างว่าคดียังไม่ถึงที่สุดแต่แท้ที่จริงคดีของจำเลยถึงที่สุดแล้วเหลือเพียงการส่งจำเลยข้ามแดนเท่านั้น การยื่นคำร้องของจำเลยหามีผลให้คดีที่ถึงที่สุดแล้วกลับกลายเป็นคดีที่ยังไม่ถึงที่สุดอีกครั้งหนึ่งไม่ จึงมิใช่กรณีที่ศาลจะส่งความเห็นไปให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย
แม้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฯ มาตรา 264 วรรคสอง จะระบุให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้พิจารณาว่าคำโต้แย้งใดของคู่ความว่าบทบัญญัติของกฎหมายขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ ไม่เป็นสาระอันควรได้รับการวินิจฉัย และศาลรัฐธรรมนูญจะไม่รับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณาก็ได้ แต่การที่จะพิจารณาว่าเรื่องดังกล่าวเข้าเหตุตามมาตรา 264 วรรคหนึ่ง หรือไม่ ย่อมต้องเป็นหน้าที่ของศาลยุติธรรม ซึ่งมีอำนาจปรับและตีความบทกฎหมายอันเป็นการทั่วไปในเบื้องต้นที่ไม่เกี่ยวกับการวินิจฉัยว่ากฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ กับกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ขององค์กรต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญโดยตรง ดังนั้น เมื่อคำร้องของจำเลยล่วงเลยเวลาที่จะดำเนินการได้ตามมาตรา 264 วรรคหนึ่ง ศาลล่างจึงมีอำนาจโดยชอบที่จะมีคำสั่งไม่รับคำร้องดังกล่าวเพื่อส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไปได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายขังจำเลยไว้ เพื่อดำเนินการส่งข้ามแดนไปดำเนินคดีที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนบังคลาเทศตามพระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ. 2472 มาตรา 3, 4, 6, 12, 15 ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีมีหลักฐานเพียงพอ จึงมีคำสั่งให้ขังจำเลยไว้เพื่อส่งข้ามแดนไปยังประเทศสาธารณรัฐประชาชนบังคลาเทศต่อไป แต่มิให้ส่งตัวจำเลยออกไปนอกประเทศก่อนครบกำหนด 15 วัน และหากมิได้ส่งตัวจำเลยข้ามแดนภายในเวลา 3 เดือนนับแต่วันที่คำสั่งศาลถึงที่สุด ให้ปล่อยตัวจำเลยไป จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วพิพากษายืน

ต่อมาเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2541 จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้มีการรื้อฟื้นคดีนี้ขึ้นพิจารณาใหม่โดยอ้างว่า มีพยานหลักฐานใหม่ซึ่งเป็นพยานบุคคลและพยานเอกสารที่ยังไม่เคยนำมาแสดงต่อศาล ทั้งนี้โดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 247 ศาลชั้นต้นตรวจคำร้องแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้อง และต่อมาเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2541 จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นอ้างว่า คดีนี้จำเลยเห็นว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่บังคับแก่จำเลยเป็นบทบัญญัติซึ่งต้องด้วยมาตรา 6 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 และยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินั้น อาศัยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 264 จำเลยขอให้ศาลชั้นต้นส่งความเห็นของจำเลยตามคำร้องที่แนบมาไปให้ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาวินิจฉัย ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เห็นว่ากรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 264 ที่จะส่งความเห็นหรือข้อโต้แย้งของจำเลยไปให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย ให้ยกคำร้อง

จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นทั้งสองคำสั่ง

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า พนักงานอัยการได้ฟ้องจำเลยตามพระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ. 2472 ตามคำร้องขอของประเทศสาธารณรัฐประชาชนบังคลาเทศ เพื่อส่งตัวจำเลยข้ามแดนไปดำเนินคดีตามมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ขังจำเลยไว้เพื่อส่งข้ามแดน จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีถึงที่สุดตามพระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ. 2472 มาตรา 17 ในระหว่างการขังจำเลยไว้เพื่อส่งตัวข้ามแดนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จำเลยยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ โดยอ้างว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 247 ระบุให้มีการรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ได้ พร้อมทั้งขอให้ส่งคำร้องเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 6และ 264 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องทั้งสองฉบับของจำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน สำหรับปัญหาที่ว่า จำเลยจะร้องขอให้มีการรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ได้หรือไม่นั้น ในฎีกาจำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้าน ปัญหาข้อนี้จึงเป็นอันยุติ คงมีปัญหาตามฎีกาที่จำเลยยกขึ้นโต้แย้งว่า ศาลต้องส่งความเห็นของจำเลยที่ว่า พระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ. 2472 ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 6 เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยหรือไม่ ซึ่งจำเลยฎีกาว่า คดีของจำเลยยังไม่สิ้นสุดไปจากศาล การยื่นคำร้องของจำเลยตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 264 วรรคหนึ่ง จึงยังไม่ล่วงเลยเวลา พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 264 วรรคหนึ่งบัญญัติว่า “ในการที่ศาลจะใช้บทบัญญัติแห่งกฎหมายบังคับแก่คดีใด ถ้าศาลเห็นเองหรือคู่ความโต้แย้งว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 6 และยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินั้น ให้ศาลรอการพิจารณาไว้ชั่วคราว และส่งความเห็นเช่นว่านั้นตามทางการเพื่อศาลรัฐธรรมนูญจะได้พิจารณาวินิจฉัย” และมาตรา 264 วรรคท้าย บัญญัติว่า “คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญใช้ได้ในคดีทั้งปวง แต่ไม่ได้กระทบกระเทือนถึงคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุดแล้ว” ตามบทบัญญัติดังกล่าวย่อมแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การที่ศาลจะส่งความเห็นเช่นว่านั้นเพื่อศาลรัฐธรรมนูญจะได้พิจารณาวินิจฉัยนั้น ต้องเป็นกรณีที่คดียังอยู่ในระหว่างการพิจารณาพิพากษาของศาลจึงให้รอการพิจารณาพิพากษาคดีไว้ชั่วคราว หาใช่กรณีถึงที่สุดแล้วแต่อย่างใดไม่ และหากคดีถึงที่สุดแล้วย่อมไม่มีประโยชน์ที่จะส่งคำร้องเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอีกต่อไปเพราะแม้ส่งไปและศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ก็ไม่อาจกระทบกระเทือนถึงคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุดแล้ว คดีนี้ข้อเท็จจริงปรากฏว่าคดีได้ถึงที่สุดแล้วตามพระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ. 2472 โดยจำเลยมิได้ร้องขอให้ศาลส่งความเห็นเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยในระหว่างการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลตามพระราชบัญญัติดังกล่าว จึงถือได้ว่ากรณีล่วงเลยเวลาที่จะดำเนินการตามมาตรา 264 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยอ้างว่าคดียังไม่ถึงที่สุด เพราะยังมีการร้องขอและอุทธรณ์ให้รื้อฟื้นคดีของจำเลยขึ้นพิจารณาใหม่นั้น เห็นว่า จำเลยใช้กรณีร้องขอให้พิจารณาใหม่ตามมาตรา 247 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2540 มาเป็นเหตุที่ทำให้เห็นว่าคดีของจำเลยยังคงได้รับการพิจารณาอยู่ในศาลเพื่อเป็นข้ออ้างว่าคดียังไม่ถึงที่สุดแต่แท้ที่จริงคดีของจำเลยถึงที่สุดเหลือเพียงการส่งจำเลยข้ามแดนเท่านั้น การยื่นคำร้องขอให้รื้อฟื้นคดีของจำเลยดังกล่าว หามีผลให้คดีที่ถึงที่สุดแล้ว กลับกลายเป็นคดีที่ยังไม่ถึงที่สุดอีกครั้งหนึ่งไม่ จึงมิใช่กรณีที่ศาลจะส่งความเห็นเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยข้ออ้างของจำเลย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

จำเลยฎีกาอีกประการหนึ่งว่า การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่รับคำร้องของจำเลยไว้พิจารณาเป็นการไม่ชอบตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2540 มาตรา 264 วรรคสอง ซึ่งระบุให้หน้าที่กลั่นกรองที่จะรับหรือไม่รับคำโต้แย้งเป็นของศาลรัฐธรรมนูญ มิใช่ของศาลชั้นต้นนั้น เห็นว่า แม้ตามบทบัญญัติมาตรา 264 วรรคสอง จะระบุให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้พิจารณาว่าคำโต้แย้งของคู่ความตามวรรคหนึ่ง ไม่เป็นสาระอันควรได้รับการวินิจฉัย ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่รับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณาก็ได้ แต่อย่างไรก็ดีในกรณีที่จะต้องพิจารณาว่าเรื่องดังกล่าวเข้าเหตุตามมาตรา 264 วรรคหนึ่งหรือไม่ ย่อมต้องเป็นหน้าที่ของศาลยุติธรรม ซึ่งมีอำนาจปรับบทกฎหมายและตีความบทกฎหมายอันเป็นการทั่วไปในเบื้องต้น ที่ไม่เกี่ยวกับการวินิจฉัยว่ากฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ กับกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ขององค์กรต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญโดยตรง เหตุนี้ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่รับคำร้องของจำเลยไว้พิจารณา เพราะล่วงเลยเวลาที่จะดำเนินการได้ตามบทบัญญัติมาตรา 264 วรรคหนึ่ง แล้วนั้น จึงเป็นอำนาจที่จะกระทำได้โดยชอบ ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share