แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การปรับเป็นโทษอย่างหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18(4)เมื่อศาลลงโทษปรับจำเลยและมีการชำระค่าปรับครบถ้วนแล้วในวันเวลาใดย่อมถือได้ว่าจำเลยได้พ้นโทษนับแต่วันที่ชำระค่าปรับนั้นแล้วหากจำเลยพ้นโทษปรับมาแล้ว ยังไม่ครบกำหนด 3 ปี มากระทำผิดต่อพระราชบัญญัติการพนันอีก จึงเข้าหลักเกณฑ์ต้องวางโทษหนักขึ้นตามที่พระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 14 ทวิ อนุมาตรา (1)หรือ (2) แล้วแต่กรณี
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๓๒ เวลากลางวันจำเลยร่วมกับพวกที่หลบหนีเล่นการพนันโตแตไลเซเตอร์ (การพนันแข่งม้า)อันเป็นการพนันตามบัญชี ข. อันดับที่ ๑๗ พนันเอาทรัพย์สินกันโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน โดยจำเลยเป็นฝ่ายลูกค้าผู้แทง ก่อนคดีนี้จำเลยถูกศาลพิพากษาถึงที่สุดในความผิดตามพระราชบัญญัติการพนัน และพ้นโทษยังไม่ครบ ๓ ปี กลับมากระทำความผิดในคดีนี้อีก ขอให้ลงโทษและเพิ่มโทษตามพระราชบัญญัติการพนันพ.ศ. ๒๔๗๘ มาตรา ๔, ๕, ๖, ๑๐, ๑๒, ๑๔ ทวิ, ๑๕ ริบของกลางและจ่ายสินบนนำจับแก่ผู้นำจับ
จำเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเคยต้องโทษและพ้นโทษจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้อง จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ ปรับ๗๐๐ บาทไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทน ริบของกลาง กับให้จำเลยใช้เงินสินบนนำจับแก่ผู้นำจับกึ่งหนึ่งของค่าปรับ คำขออื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยอธิบดีกรมอัยการลงลายมือชื่อรับรองในฎีกาว่ามีเหตุอันควรที่ศาลสูงสุดจะได้วินิจฉัย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า จำเลยเคยต้องโทษฐานเล่นการพนันไพ่ต่อแต้ม ศาลพิพากษาปรับ ๗๐๐ บาทจำเลยพ้นโทษมาบังไม่ครบกำหนด ๓ ปี กลับมากระทำผิดในคดีนี้อีกปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่าจะเพิ่มโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติการพนันพ.ศ. ๒๔๗๘ มาตรา ๑๔ ทวิ(๒) ได้หรือไม่
ศาลฎีกาเห็นว่า การปรับถือเป็นโทษอย่างหนึ่งในจำพวกโทษทั้ง ๕ ชนิด ที่ลงแก่ผู้กระทำผิดตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๘(๔) เมื่อศาลลงโทษปรับจำเลย และมีการชำระค่าปรับครบถ้วนแล้วในวันเวลาใด ย่อมถือได้ว่าจำเลยได้พ้นโทษนับแต่วันที่ชำระค่าปรับนั้นแล้ว ฉะนั้นหากจำเลยพ้นโทษปรับแล้วยังไม่ครบกำหนด ๓ ปี มากระทำผิดต่อพระราชบัญญัติการพนันนี้อีก จึงเข้าหลักเกณฑ์ต้องลงโทษตามวิธีการที่พระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. ๒๔๗๘มาตรา ๑๔ ทวิ บัญญัติไว้ในอนุมาตรา (๑) หรือ (๒) แล้วแต่กรณีที่ศาลล่างทั้งสองไม่ลงโทษจำเลยตามบทกฎหมายดังกล่าวนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติการพนันพ.ศ. ๒๔๗๘ มาตรา ๑๔ ทวิ(๒) โดยให้วางโทษทั้งจำทั้งปรับ ให้จำคุก๔ เดือนปรับ ๑,๔๐๐ บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๗๘ แล้วคงจำคุก ๒ เดือน ปรับ ๗๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด ๒ ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.