คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1731/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำผิดฯผู้นำจับและพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งจับกุมผู้กระทำผิดมีสิทธิได้รับสินบนและรางวัลโดยพนักงานอัยการเป็นผู้ร้องขอต่อศาลให้จ่ายสินบนหรือรางวัลดังกล่าว การจ่ายสินบนและรางวัลให้จ่ายจากเงินที่ได้จากการขายของกลางซึ่งศาลสั่งริบเมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว ในกรณีที่ศาลมิได้สั่งริบของกลาง หรือของกลางที่ศาลสั่งริบนั้น มิอาจขายได้ให้จ่ายจากเงินค่าปรับที่ได้ชำระต่อศาล ไม่มีบทมาตราใดที่บัญญัติให้จำเลยเป็นผู้จ่ายสินบนและรางวัล
ฟ้องโจทก์บรรยายแยกเป็นข้อ (ก) จำเลยตั้งสถานีวิทยุกระจายเสียงโดยมิได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ฯ ข้อ (ข) จำเลยนำหรือพาเครื่องวิทยุกระจายเสียงซึ่งผลิตในต่างประเทศโดยมิได้ผ่านด่านศุลกากรตามพระราชบัญญัติศุลกากรฯ ข้อ (ค) จำเลยมีเครื่องวิทยุไว้ในความครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติวิทยุและโทรคมนาคมฯ และบรรยายในตอนท้ายว่ามีสายลับต้องการสินบนนำจับนำเจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยเครื่องวิทยุกระจายเสียงจำนวน 1 เครื่องดังกล่าวในข้อ(ก)และ (ข) จำเลยยื่นคำให้การรับสารภาพตามฟ้องข้อ(ก)และ(ค) ส่วนฟ้องข้อ (ข) นั้นรับสารภาพว่าได้รับเครื่องส่งวิทยุกระจายเสียงไว้จริง ศาลได้สอบถามจำเลยแล้วจดไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาว่า จำเลยรับสารภาพตามฟ้องดังนี้ ถือว่าจำเลยรับในข้อมีผู้นำจับด้วย
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยจ่ายสินบนแก่ผู้นำจับและจ่ายรางวัลแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำผิดฯ ศาลชั้นต้นให้จำเลยจ่ายสินบนแก่ผู้นำจับร้อยละ 30 และจ่ายรางวัลแก่เจ้าพนักงานผู้จับอีกร้อยละสิบห้า ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำขอส่วนนี้ โจทก์ฎีกาขอให้จ่ายสินบนและรางวัลตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลฎีกาให้จ่ายสินบนนำจับร้อยละสามสิบและรางวัลร้อยละสิบห้าของราคาของกลางเท่าจำนวนที่โจทก์ขอมาในฎีกา โดยจ่ายจากค่าขายของกลาง ของกลางขายไม่ได้ให้จ่ายจากเงินค่าปรับ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน คือ

ก. ระหว่างวันที่ 13 กันายน 2519 ถึงวันที่ 14 มกราคม 2520 จำเลยบังอาจตั้งสถานีวิทยุกระจายเสียงดำเนินบริการส่งวิทยุกระจายเสียงโดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน

ข. ระหว่างวันที่ 10 มิถุนายน 2519 ถึงวันที่ 13 กันายน 2519 จำเลยบังอาจนำหรือพาเครื่องส่งวิทยุกระจายเสียงซึ่งผลิตในต่างประเทศอันเป็นของต้องห้ามจำกัดที่ยังมิได้เสียภาษีและผ่านด่านศุลกากรโดยถูกต้อง เข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากรเป็นเงิน 10,496.81 บาทโดยเจตนาฉ้อภาษีของรัฐบาล หรือมิฉะนั้นระหว่างวันที่ 13 กันยายน 2519ถึงวันที่ 14 มกราคม 2520 จำเลยบังอาจช่วยซ่อนเร้นหรือรับไว้ซึ่งเครื่องส่งวิทยุกระจายเสียงอันรู้อยู่ว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากรดังกล่าว

ค. ระหว่างวันที่ 13 กันยายน 2519 ถึงวันที่ 14 มกราคม 2520 เวลากลางวันจำเลยบังอาจมีเครื่องวิทยุคมนาคม คือเครื่องส่งวิทยุกระจายเสียงไว้ในครอบครองโดยมิได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงาน

เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2520 มีสายลับต้องการสินบนนำจับนำเจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมเครื่องวิทยุกระจายเสียงจำนวน 1 เครื่องดังกล่าวในข้อ (ก) และ (ข) เป็นของกลาง

เหตุในข้อ (ก)(ข)(ค) เกิดที่ตำบลชุมแพ อำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่นขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์พ.ศ. 2498 มาตรา 5, 16, 17 พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27, 27 ทวิ, 31 พระราชบัญญัติศุลกากรการ (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2490มาตรา 3 พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2499 มาตรา 4 พระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำผิด พ.ศ. 2489มาตรา 5, 6, 7, 8, 9 พระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 มาตรา 6,23 ริบเครื่องส่งวิทยุกระจายเสียงของกลาง และให้จำเลยจ่ายสินบนแก่ผู้นำจับ และจ่ายรางวัลแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งจับกุมด้วย

จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องข้อ (ก) และ (ค) ส่วนฟ้องข้อ (ข)นั้น จำเลยรับสารภาพว่าได้รับเครื่องส่งวิทยุกระจายเสียงไว้จริง

โจทก์จำเลยไม่สืบพยาน

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามบทกฎหมายและมาตราที่โจทก์ฟ้องทุกประการ ให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ พ.ศ. 2498 มาตรา 5, 17 จำคุก 1 ปีปรับ 4,000 บาท กระทงหนึ่ง ตามพระราชบัญญัติวิทยุโทรคมนาคม พ.ศ. 2498 มาตรา 6, 23 จำคุก 1 ปี และปรับ 4,000 บาทอีกกระทงหนึ่ง และตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ทวิซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2499มาตรา 4 ปรับ 162,175.24 บาท อีกระทงหนึ่ง รวมโทษ 3 กระทง เป็นจำคุก 2 ปี และปรับ 170,175.24 บาท จำเลยรับสารภาพโดยดีปราณีลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก1 ปี ปรับ 85,087.62 บาท ให้รอการลงโทษไว้ภายใน 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ถ้าจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 แต่ไม่ให้กักขังเกิน2 ปี ริบของกลาง ให้จำเลยจ่ายสินบนแก่ผู้นำจับร้อยละสามสิบและจ่ายรางวัลแก่เจ้าพนักงานผู้จับอีกร้อยละสิบห้าของราคาของกลาง

จำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกโทษปรับ

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โทษที่ศาลชั้นต้นกำหนดนั้นเหมาะสมแล้วไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลง แต่เห็นว่าศาลชั้นต้นยังปรับบทลงโทษไม่ถูกต้องและเห็นว่าจำเลยไม่มีหน้าที่ต้องจ่ายสินบนแก่ผู้นำจับและรางวัลแก่เจ้าพนักงานผู้จับ ทั้งคดีนี้โจทก์ก็มิได้นำสืบว่ามีผู้นำจับ จึงพิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ พ.ศ. 2498 มาตรา 5, 17 พระราชบัญญัติศุลกากรพ.ศ. 2469 มาตรา 27 ทวิ ซึ่งแก้ไขเพิมเติมโดยพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2499 มาตรา 6, 23 และให้ยกคำขอของโจทก์เกี่ยวกับสินบนนำจับและรางวัลเจ้าพนักงานผู้จับเสีย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกาขอให้ศาลสั่งจ่ายสินบนแก่ผู้นำจับ และสั่งจ่ายรางวัลแก่เจ้าพนักงานผู้จับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

ศาลฎีกาเห็นว่าพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำผิดพ.ศ. 2489 มาตรา 5, 6, 9 บัญญัติว่าผู้นำจับผู้กระทำผิดว่าด้วยกฎหมายศุลกากรมีสิทธิได้รับสินบนและพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งจับกุมผู้กระทำผิดมีสิทธิได้รับรางวัลโดยให้พนักงานอัยการเป็นผู้ร้องขอต่อศาลให้จ่ายสินบนหรือรางวัลดังกล่าว

ปัญหาที่ว่าใครเป็นผู้จ่ายหรือจ่ายจากไหนนั้นมีบัญญัติไว้ในมาตรา 7ว่า “สินบนและรางวัลให้จ่ายจากเงินที่ได้จากการขายของกลาง ซึ่งศาลสั่งริบเมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว ในกรณีที่ศาลมิได้สั่งริบของกลางหรือของกลางที่ศาลสั่งริบนั้นมิอาจขายได้ ให้จ่ายจากเงินค่าปรับที่ได้ชำระต่อศาล” ไม่มีมาตราใดที่บัญญัติให้จำเลยเป็นผู้จ่ายสินบนและรางวัลเลยที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยไม่มีหน้าที่ต้องจ่ายนั้นจึงเป็นการชอบแล้ว แต่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำขอของโจทก์เกี่ยวกับสินบนนำจับและรางวัลเจ้าพนักงานผู้จับเสียเลยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย เพราะเป็นเงินที่ผู้นำจับและเจ้าพนักงานผู้จับมีสิทธิได้รับตามพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำผิด พ.ศ. 2489 มาตรา 6 อยู่แล้ว

ที่ศาลอุทธรณ์อ้างว่าโจทก์มิได้นำสืบว่ามีผู้นำจับนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ได้กล่าวมาในฟ้องแล้วว่า คดีนี้มีสายลับนำเจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยเครื่องส่งวิทยุกระจายเสียงของกลาง ซึ่งจำเลยก็ได้ให้การรับสารภาพตามฟ้องแล้ว คดีฟังได้ว่ามีผู้นำจับเลยไม่จำต้องสืบพยานอีก

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จ่ายสินบนแก่ผู้นำจับร้อยละสามสิบของราคาของกลาง และให้จ่ายรางวัลแก่เจ้าพนักงานผู้จับกุมอีกร้อยละสิบห้าของราคาของกลางด้วยเท่าจำนวนที่โจทก์ขอมาในฎีกา หากของกลางที่ศาลสั่งริบไม่อาจขายได้จึงให้จ่ายจากเงินค่าปรับที่จำเลยได้ชำระต่อศาล นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share