แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การในวันที่ 15 มกราคม 2546 จำเลยไม่ได้ยื่นคำให้การ ต่อมาวันที่ 29 มกราคม 2546 จำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การและยื่นคำให้การและฟ้องแย้งเข้ามาด้วย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า การขาดนัดยื่นคำให้การของจำเลยเป็นไปโดยจงใจและไม่มีเหตุอันสมควร จึงไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ และนัดสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียว เมื่อศาลชั้นต้นสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การแล้วก็ไม่จำต้องสั่งไม่รับคำให้การและฟ้องแย้งอีก คำสั่งของศาลชั้นต้นยังอยู่ในขั้นตอนของคำสั่งไม่อนุญาตให้ยื่นคำให้การ มิใช่คำสั่งไม่รับคำให้การและฟ้องแย้ง อันจะถือเป็นคำสั่งไม่รับคำคู่ความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 18 จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เมื่อจำเลยมิได้โต้แย้งคำสั่งดังกล่าว จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามมาตรา 226 (1)
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปและห้ามเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองและบริวารจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ แต่ก่อนสืบพยานจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขออนุญาตให้ยื่นคำให้การและยื่นคำให้การและฟ้องแย้งเข้ามาด้วย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าการขาดนัดยื่นคำให้การของจำเลยทั้งสองเป็นไปโดยจงใจและไม่มีเหตุอันสมควร จึงไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งสองยื่นคำให้การ ให้นัดสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียว แล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 2695 ตำบลทุ่งยั้ง อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ และห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเกี่ยวข้องในที่ดินดังกล่าว และให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหายเดือนละ 300 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองและบริวารจะรื้อถอนและขนย้ายสิ่งของออกไปจากที่ดินดังกล่าว ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 400 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยทั้งสองยื่นคำให้การในวันที่ 15 มกราคม 2546 จำเลยทั้งสองไม่ได้ยื่นคำให้การภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ต่อมาวันที่ 29 มกราคม 2546 จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การและยื่นคำให้การและฟ้องแย้งเข้ามาด้วย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า การขาดยัดยื่นคำให้การของจำเลยทั้งสองเป็นไปโดยจงใจและไม่มีเหตุอันสมควรจึงไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งสองยื่นคำให้การ และนัดสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียว เมื่อศาลชั้นต้นสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งสองยื่นคำให้การแล้วก็ไม่จำต้องสั่งไม่รับคำให้การและฟ้องแย้งอีก คำสั่งของศาลชั้นต้นยังอยู่ในขั้นตอนของคำสั่งไม่อนุญาตให้ยื่นคำให้การ มิใช่คำสั่งไม่รับคำให้การและฟ้องแย้ง อันจะถือเป็นคำสั่งไม่รับคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 ดังที่จำเลยทั้งสองฎีกา คำสั่งดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เมื่อจำเลยทั้งสองมิได้โต้แย้งคำสั่งดังกล่าว จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 (1) ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองจึงไม่ชอบ ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ไม่รับวินิจฉัยและพิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.