แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยนำเงินมาวางต่อศาลเพื่อเป็นหลักประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ตามคำพิพากษากับคำสั่งที่ยกคำร้องของจำเลยที่ขอให้เพิกถอนการยึดทรัพย์และคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดของจำเลยเป็นที่สุดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 296 วรรคห้า จำเลยไม่มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาได้อีก
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 8,268,896.99 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 7,188,829.17 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 245798 และ 245800 พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 3 เพื่อขายทอดตลาด วันที่ 24 ตุลาคม 2544 จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 3 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้งดการขายทอดตลาดไว้ชั่วคราวและเพิกถอนการยึดทรัพย์ดังกล่าว ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคำร้อง ในระหว่างนัดไต่สวนจำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องขอให้งดการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยที่ 3 ไว้ชั่วคราวเพื่อรอคำสั่งคำร้องที่ขอให้เพิกถอนการยึดทรัพย์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตแต่ยังมิได้แจ้งคำสั่งไปยังเจ้าพนักงานบังคับคดีทราบในวันเดียวกันเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยที่ 3 ไปโดยโจทก์เป็นผู้ประมูลได้ ต่อมาวันที่ 12 พฤศจิกายน 2544 จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยที่ 3 โดยฝ่าฝืนคำสั่งศาล เป็นการขายทอดตลาดที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดดังกล่าวเสีย
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า คำร้องของจำเลยที่ 3 ทั้งสองฉบับเป็นการประวิงคดีให้ชักช้า เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ขอให้ยกคำร้องทั้งสองฉบับของจำเลยที่ 3
วันที่ 30 มกราคม 2545 โจทก์ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องทั้งสองฉบับเพื่อประวิงคดีให้ล่าช้าออกไป ขอให้มีคำสั่งให้จำเลยที่ 3 วางเงินต่อศาลจำนวน 480,000 บาท เพื่อเป็นประกันความเสียหายแก่โจทก์
วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2545 ซึ่งเป็นวันนัดไต่สวนคำร้องทั้งสองฉบับของจำเลยที่ 3 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้เลื่อนคดีตามคำขอของจำเลยที่ 3 และมีคำสั่งให้จำเลยที่ 3 นำเงินจำนวน 264,000 บาท มาวางต่อศาลชั้นต้นภายใน 30 วัน เพื่อเป็นประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์
วันที่ 24 เมษายน 2545 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยที่ 3 ไม่นำเงินมาวางเพื่อเป็นประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้องฉบับลงวันที่ 24 ตุลาคม 2544 และฉบับวันที่ 12 พฤศจิกายน 2544 ของจำเลยที่ 3 ค่าคำร้องให้เป็นพับ
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ให้จำเลยที่ 3 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า คดีนี้จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 24 ตุลาคม 2544 ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนการยึดทรัพย์ และยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 12 พฤศจิกายน 2544 ขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยที่ 3 โดยเนื้อหาตามคำร้องทั้งสองฉบับดังกล่าวเป็นการกล่าวอ้างว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย กรณีตามคำร้องทั้งสองฉบับของจำเลยที่ 3 ต้องด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 ซึ่งในวรรคห้าของมาตราดังกล่าวบัญญัติว่า “ในการยื่นคำร้องต่อศาลตามมาตรานี้… ฯลฯ … ศาลมีอำนาจที่จะสั่งให้ผู้ยื่นคำร้องวางเงินหรือหาประกันต่อศาลตามจำนวนและภายในระยะเวลาที่ศาลเห็นสมควรกำหนดเพื่อเป็นประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหรือบุคคลนั้นได้ ถ้าผู้ยื่นคำร้องไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล ให้ศาลมีคำสั่งยกคำร้องนั้นเสีย คำสั่งศาลที่ออกตามความในมาตรานี้ให้เป็นที่สุด” ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยที่ 3 นำเงินจำนวน 264,000 บาท มาวางต่อศาลภายในกำหนด 30 วัน เพื่อประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ จำเลยที่ 3 ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งยกคำร้องขอให้เพิกถอนการยึดทรัพย์และคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดของจำเลยที่ 3 ดังนี้ คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยที่ 3 นำเงินมาวางต่อศาลเพื่อเป็นหลักประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ก็ดี คำสั่งที่ยกคำร้องขอให้เพิกถอนการยึดทรัพย์และคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดของจำเลยที่ 3 ก็ดี ย่อมเป็นที่สุดตามบทกฎหมายดังกล่าว จำเลยที่ 3 ไม่มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาได้อีก ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 3 ในปัญหาเกี่ยวกับคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยที่ 3 วางเงินต่อศาลเพื่อเป็นประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์มาจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาของจำเลยที่ 3 ให้คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดในชั้นฎีกาแก่จำเลยที่ 3 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากนี้ให้เป็นพับ.