คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 586/2527

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยยิงผู้ตายขณะที่ผู้ตายนั่งอยู่ในรถยนต์ที่จำเลยขับขี่ แล้วจำเลยขับรถยนต์นำศพจากที่เกิดเหตุ และจากรถยนต์เข้าไปในโบสถ์ นำศพไปใส่ไว้ในกล่องกระดาษในลักษณะให้ศพนั่งคุดคู้อยู่ในกล่อง นำกล่องไปเก็บไว้ในห้องเก็บหนังสือ แม้มิได้ใช้วัสดุอื่นปิดบังกล่อง เมื่อเปิดประตูห้องเก็บหนังสือก็สามารถเห็นกล่องได้ ก็เป็นการกระทำเพื่อที่จะปิดบังเหตุแห่งการตายของผู้ตายจำเลยมีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 199
การที่ผู้ตายด่าว่าจำเลยถึงโคตรพ่อโคตรแม่ ทั้งๆ ที่ จำเลยเป็นผู้ให้ความอุปการะช่วยเหลือผู้ตายตลอดมา จนจำเลยระงับอารมณ์ไว้ไม่ได้และใช้อาวุธปืนที่ติดตัวยิงเพียง 1 นัด ถือได้ว่าจำเลยได้กระทำความผิดไปโดยบันดาลโทสะตามมาตรา 72

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 จำคุกตลอดชีวิต มาตรา 199 จำคุก 1 ปี พาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ, 82 ทวิคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับ 44 ข้อ 3, 7 ปรับ 1,500บาท เปลี่ยนโทษจำคุกตลอดชีวิตเป็น 50 ปี ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 34 ปีปรับ 1,000 บาท ของกลางทั้งหมดให้ริบ เว้นรถยนต์ของกลางให้คืนเจ้าของศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามมาตรา 288 ประกอบด้วย มาตรา 72 จำคุก 8 ปี เมื่อรวมกับโทษฐานอื่นและลดโทษให้ 1 ใน 3คงจำคุก 6 ปี ปรับ 1,000 บาท โจทก์และจำเลยฎีกา เฉพาะข้อหาซ่อนเร้นศพ ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาในศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงตามทางนำสืบของโจทก์จำเลยเป็นอันยุติว่า เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2524 เวลาประมาณ 20 นาฬิกาจำเลยได้ใช้อาวุธปืนรีวอลเวอร์ ขนาด .38 ของจำเลยยิงนางสาวจุไรหรืออุไร หิรัญอนันต์พงศ์ ผู้ตายถูกที่บริเวณหูขวาจำนวน 1 นัด กระสุนฝังในและผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะพิษบาดแผลที่จำเลยใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงจริงคดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และของจำเลยว่า จำเลยยิงผู้ตายเพื่อป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ หรือเพราะบันดาลโทสะหรือไม่ และจำเลยเจตนาจะซ่อนเร้นศพผู้ตายเพื่อปิดบังเหตุแห่งการตายหรือไม่ ซึ่งศาลฎีกาจะได้วินิจฉัยฎีกาของทั้งสองฝ่ายรวมกันไป

สำหรับปัญหาประการแรกที่จำเลยฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุนั้น จำเลยนำสืบว่าเนื่องจากผู้ตายโกรธจำเลยตามที่โต้เถียงกัน แล้วผู้ตายเปิดกระเป๋าถือชักปืนออกมาจะยิงจำเลยโดยหันปากกระบอกปืนมาทางจำเลย จำเลยเชื่อว่าผู้ตายจะยิงจำเลย จำเลยจึงชักอาวุธปืนของกลางออกจากเอวข้างขวาและยิงผู้ตายทันทีเพียง 1 นัดโดยไม่ได้เล็ง ผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะพิษบาดแผลที่จำเลยยิงนี้ เมื่อจำเลยนำสืบเช่นนี้ คดีจึงมีปัญหาเป็นเบื้องต้นว่าในวันเกิดเหตุนั้นผู้ตายมีกระเป๋าถือและอาวุธปืนติดตัวไปด้วยหรือไม่ เกี่ยวกับเรื่องนี้ในชั้นต้นที่พนักงานสอบสวนถามจำเลยก่อนทำการสอบสวนก็ดี ในระหว่างทำการสอบสวนก็ดี จำเลยมิได้อ้างถึงว่าผู้ตายมีกระเป๋าถือมีอาวุธปืน และผู้ตายใช้อาวุธปืนจะยิงจำเลยแต่อย่างใด แต่ปัญหาเรื่องกระเป๋าถือและอาวุธปืนที่ติดตัวไปกับผู้ตายดังกล่าว เพิ่งมาปรากฏขึ้นภายหลังที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้แล้วตามจดหมายของนางลัดดา แซ่ห่าน พี่สาวผู้ตายที่มีถึงจำเลยโดยผ่านทางทนายความของจำเลยตามเอกสารหมาย ล.2 ตามจดหมายหมาย ล.2 ดังกล่าวนี้ นางลัดดาได้กล่าวปฏิเสธคำให้การของตนและมารดาในชั้นสอบสวนว่าเป็นเรื่องตำรวจบันทึกเอาตามใจชอบ และแสดงความเห็นใจจำเลยในเรื่องที่เกิดขึ้น พร้อมกับขอเงินจำเลยจำนวน 250,000 บาท เพื่อเป็นค่าทำศพค่าเลี้ยงดูเด็กและให้การศึกษาแก่เด็กซึ่งเป็นบุตรผู้ตาย ในตอนท้ายของจดหมายฉบับนี้นางลัดดาจึงได้ถามจำเลยถึงของที่อยู่ในกระเป๋าถือของผู้ตายคือปืนพก นาฬิกาและแหวนทอง 2 วง แต่ทั้งนางลัดดาและนางปุ๊มารดาผู้ตายต่างก็มิได้ให้การถึงเรื่องกระเป๋าถือ และอาวุธปืนของผู้ตายต่อพนักงานสอบสวนแต่อย่างใด โดยนางลัดดาอ้างว่า เพราะเข้าใจว่าผู้ตายมีส่วนก่อให้เกิดเหตุคดีนี้ด้วย ส่วนนางปุ๊ให้เหตุผลว่าเพราะกลัวตำรวจ ซึ่งไม่สมด้วยเหตุผลของผู้ที่มีความเห็นอกเห็นใจจำเลยอย่างที่นางลัดดาได้กล่าวไว้ในจดหมาย หมาย ล.2 แต่อย่างใดเลย นอกจากนี้หากผู้ตายมีอาวุธปืน และผู้ตายเป็นผู้จ้องอาวุธปืนจะยิงจำเลยก่อนเช่นที่จำเลยเบิกความ ผู้ตายก็น่าจะยิงจำเลยก่อนที่จำเลยจะทันชักอาวุธปืนออกมาจากเอวข้างขวาเสียด้วยซ้ำไปและอย่างไรก็ตามหากจะพิจารณาในทางที่ว่าจำเลยเป็นผู้มีความชำนาญในการใช้อาวุธปืนเนื่องจากจำเลยซักซ้อมการยิงปืนอยู่เป็นประจำทุกวัน จนจำเลยสามารถชักอาวุธปืนออกมาและยิงผู้ตายได้ก่อนบริเวณร่างกายของผู้ตายส่วนที่จะถูกจำเลยยิงก็น่าจะเป็นบริเวณด้านหน้าของใบหน้าผู้ตายเพราะขณะเกิดเหตุนั้นผู้ตายกับจำเลยนั่งคู่กันอยู่ในตอนหน้าของรถยนต์และจำเลยเบิกความว่าผู้ตายกำลังจ้องปืนจะยิงจำเลยอยู่ผู้ตายจึงน่าจะหันหน้าไปทางจำเลยมากกว่าจะหันหน้าออกไปทางด้านหน้ารถยนต์จนจำเลยสามารถยิงถูกตรงบริเวณหูด้านขวาของผู้ตายและกระสุนปืนฝังในอยู่ตรงบริเวณกล้ามเนื้อใต้หนังศีรษะหลังกกหูซ้ายดังที่ปรากฏตามรายงานการชันสูตรพลิกศพท้ายฟ้อง นอกจากนั้นคดีนี้จำเลยก็ไม่มีอาวุธปืนที่อ้างว่า ผู้ตายจะใช้ยิงจำเลยมาแสดง โดยจำเลยเบิกความถึงสาเหตุว่าเพราะจำเลยได้โยนกระเป๋าถือและอาวุธปืนของผู้ตายทิ้งไปตรงบริเวณที่เกิดเหตุ เพราะงงและตกใจแต่ในขณะเดียวกันจำเลยกลับเก็บรักษาอาวุธปืนที่จำเลยใช้ยิงผู้ตายไว้และนำเจ้าหน้าที่ตำรวจยึดอาวุธปืนของจำเลยมาเป็นของกลางโดยจำเลยมิได้กล่าวถึงอาวุธปืนของผู้ตายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบเลย ทั้ง ๆ ที่จำเลยนำสืบว่าจำเลยเป็นผู้ชำนาญในการใช้อาวุธปืนจำเลยมีอาวุธปืนใช้ถึง 7 กระบอก จำเลยมีหน้าที่เบิกเงิน ฝากเงินกับธนาคารเป็นประจำทุกวัน จนจำเลยต้องมีอาวุธปืนติดตัวเพื่อระมัดระวังทรัพย์สินดังกล่าว จำเลยนี้เป็นผู้มีการศึกษาดีพอสมควรที่จำเลยน่าจะทราบว่าการที่ผู้ตายใช้อาวุธปืนจะยิงจำเลยในขณะเกิดเหตุนั้นอาจเป็นประโยชน์ในการต่อสู้คดีของจำเลยเป็นอย่างมาก จริงอยู่พันตำรวจโทดุษฎี ชัยนาม และพันตำรวจตรีจงรักษ์ จุฑานนท์พยานโจทก์ได้เบิกความว่า ภายหลังทีได้ส่งสำนวนการสอบสวนไปยังพนักงานอัยการแล้ว ได้มีญาติของผู้ตายไปสอบถามถึงกระเป๋าถือและอาวุธปืนกับทรัพย์สินอื่นของผู้ตาย คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองก็เป็นการเบิกความไปตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น มิได้เป็นประโยชน์แก่คดีของจำเลย ศาลฎีกาเห็นว่าข้อนำสืบต่อสู้ของจำเลยเรื่องกระเป๋าถือและอาวุธปืนของผู้ตายดังกล่าวข้างต้นนั้นไม่ประกอบด้วยเหตุผลไม่มีน้ำหนักให้น่าเชื่อถือได้ว่า ในวันเกิดเหตุนั้นผู้ตายได้มีกระเป๋าถือและอาวุธปืนติดตัวไปด้วยแต่อย่างใด กรณีจึงไม่มีทางที่ผู้ตายจะใช้อาวุธปืนจะยิงจำเลยดังที่จำเลยนำสืบ ข้อต่อสู้ของจำเลยว่าจำเลยยิงผู้ตายเพื่อป้องกันตัวรับฟังไม่ได้การกระทำของจำเลยจึงเป็นการฆ่าผู้ตายโดยเจตนาตามที่โจทก์ฟ้อง

สำหรับข้อหาฐานซ่อนเร้นศพผู้ตายเพื่อปิดบังสาเหตุแห่งการตายนั้นข้อเท็จจริงตามที่โจทก์จำเลยนำสืบรับกันฟังได้ว่า จำเลยได้นำศพของผู้ตายไปใส่ไว้ในกล่องกระดาษในลักษณะที่ให้ศพดังกล่าวนั่งคุดคู้อยู่ในกล่องกระดาษตามที่ปรากฏในภาพถ่ายหมาย จ.1 และจำเลยวางกล่องกระดาษใส่ศพผู้ตายดังกล่าวนี้ไว้ในห้องเก็บหนังสือตามที่ปรากฏในภาพถ่ายหมาย จ.7 ภาพที่ 3 ที่ 4 และตามแผนที่สังเขปแสดงที่เกิดเหตุหมาย จ.12แผ่นที่ 2 โดยร้อยตำรวจโทสุนทร โสรธร พนักงานสอบสวนเบิกความว่า กล่องศพที่วางไว้นั้นเข้าไปในห้องก็มองเห็นเลย ไม่มีอะไรปิดบังพันตำรวจตรีจงรักษ์ จุฑานนท์ก็เบิกความว่ากล่องบรรจุศพนี้วางอยู่ใกล้ประตูห้องตรงทางเข้า ไม่มีอะไรปิดบัง ส่วนจำเลยได้เบิกความให้เหตุผลที่นำศพผู้ตายใส่กล่องกระดาษไว้ว่า เพราะเห็นศพแล้วสะเทือนใจและจำเลยตั้งใจจะนำศพไปทำพิธีทางศาสนาก่อน แล้วจะนำเอาศพไปมอบให้ตำรวจ ศาลฎีกาเห็นว่าหากจำเลยไม่ประสงค์จะเห็นศพผู้ตาย จำเลยก็น่าจะใช้ผ้าหรือวัตถุอย่างอื่นคลุมหรือปิดศพไว้ก่อนก็ได้ ส่วนการที่จะนำศพไปทำพิธีการทางศาสนาหรือนำไปส่งมอบให้เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยิ่งไม่เป็นการสมควรที่จำเลยจะนำศพไปใส่ไว้ในกล่องกระดาษในลักษระนั่งคุดคู้เช่นนั้นคดีนี้ข้อเท็จจริงรับกันว่า จำเลยยิงผู้ตายขณะที่ผู้ตายนั่งอยู่ในรถยนต์ที่จำเลยขับขี่ แล้วจำเลยขับขี่รถยนต์นำศพผู้ตายจากที่เกิดเหตุ ถนนเชื้อเพลิง แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร ใกล้กับบริเวณทางด่วนพิเศษไปยังโบสถ์อัสสัมชัญ แขวงบางรัก เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร การที่จำเลยนำศพผู้ตายจากในรถยนต์เข้าไปในโบสถ์ดังกล่าว แล้วนำศพผู้ตายไปใส่ไว้ในกล่องกระดาษในลักษระให้ศพนั่งคุดคู้อยู่ในกล่องนั้นและจำเลยได้นำกล่องใส่ศพผู้ตายดังกล่าวไปไว้ในห้องเก็บหนังสือนั้น ถึงแม้การวางกล่องใส่ศพผู้ตายไว้ในห้องเก็บหนังสือนี้ จำเลยจะมิได้ใช้วัสดุอย่างอื่นปิดบังกล่องดังกล่าวไว้ กล่าวคือเมื่อเปิดประตูห้องเก็บหนังสือก็สามารถเห็นกล่องใส่ศพดังกล่าวได้ก็ตาม แต่ก็เป็นการแน่ชัดว่าการอยู่นอกห้องเก็บหนังสือหรือเพียงแต่การเปิดประตูห้องเก็บหนังสือย่อมไม่สามารถมองเห็นศพผู้ตายได้ การกระทำของจำเลยเกี่ยวกับศพผู้ตายตามลำดับดังกล่าวมาไม่อาจถือได้ว่า จำเลยได้นำศพผู้ตายไปไว้ในที่เปิดเผยดังที่จำเลยฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาเห็นว่าพฤติการณ์แห่งการกระทำของจำเลยเกี่ยวกับศพผู้ตายในลักษณะดังกล่าวมารับฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยกระทำเพื่อที่จะปิดบังเหตุแห่งการตายของผู้ตายโดยแท้ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยมาในข้อหานี้ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย

ปัญหาสุดท้ายเป็นปัญหาตามฎีกาของโจทก์ที่ว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะหรือไม่ ในปัญหาดังกล่าวนี้จำเลยนำสืบว่าสาเหตุแห่งการที่จำเลยยิงผู้ตายนั้นสืบเนื่องมาจากในขณะเกิดเหตุนั้น จำเลยทวงถามเงินจำนวน 50,000 บาทที่ผู้ตายยืมจำเลยไป ตามเอกสารหมาย ล.5แต่ผู้ตายไม่มีชำระ เมื่อจำเลยกล่าวว่าจะฟ้องคดี ผู้ตายก็ขู่ว่าจะแกล้งให้ข่าวหนังสือพิมพ์ว่าจำเลยทำให้ผู้ตายตั้งครรภ์ เพื่อให้จำเลยเสื่อมเสียชื่อเสียงและไม่อาจบวชเป็นบาทหลวงได้ เมื่อจำเลยห้ามปรามผู้ตายก็ไม่เชื่อฟังกลับใช้วาจาหยาบคายด่าจำเลยถึงโคตรพ่อโคตรแม่ศาลฎีกาเห็นว่าถึงแม้ข้ออ้างของจำเลยเรื่องที่ผู้ตายใช้อาวุธปืนจะยิงจำเลยจะรับฟังไม่ได้ แต่เฉพาะเรื่องผู้ตายด่าจำเลยนี้ พันตำรวจโทดุษฎี ชัยนามและพันตำรวจตรีจงรักษ์ จุฑานนท์พยานโจทก์ก็เบิกความว่า จำเลยแจ้งให้ทราบแต่ต้นว่าสาเหตุที่ยิงผู้ตายเพราะเกิดโต้เถียงกัน ตามรายงานการตรวจสถานที่เกิดเหตุหมาย จ.6 และบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุหมาย จ.11 ก็ระบุถึงสาเหตุแห่งการกระทำผิดของจำเลยว่า เกิดจากการที่จำเลยกับผู้ตายทะเลาะมีปากเสียงกันจนจำเลยระงับอารมณ์ไม่ได้ อันเป็นการเจือสมข้อนำสืบของจำเลยดังกล่าวข้างต้นให้มีน้ำหนักน่าเชื่อถือที่โจทก์ฎีกาอ้างว่าในชั้นสอบสวนนางลัดดานางปุ๊และนายไข่น้องผู้ตายให้การว่าผู้ตายตั้งครรภ์กับจำเลย โจทก์ก็มิได้ส่งคำให้การชั้นสอบสวนของนางลัดดากับนางปุ๊ต่อศาลส่วนคำให้การของนายไข่ที่โจทก์ส่งศาลตามเอกสารหมาย จ.16 ก็ไม่ปรากฏว่านายไข่ให้การไว้ดังที่โจทก์อ้าง ที่โจทก์เชื่อว่าผู้ตายกับจำเลยมีความสัมพันธ์ทางชู้สาวกันจนผู้ตายมีครรภ์ถึง 5 เดือน ก็ขัดแย้งกับคำเบิกความของพันตำรวจเอกนายแพทย์ไพจิตร พิริยะโยธิน พยานโจทก์ผู้ทำการชันสูตรพลิกศพและทำการผ่าศพผู้ตายที่ว่าผู้ตายมิได้ตั้งครรภ์ ดังนั้นที่โจทก์ฎีกาว่าผู้ตายกับจำเลยมีความสัมพันธ์กันในทางชู้สาวจนถึงกับผู้ตายตั้งครรภ์จึงรับฟังไม่ได้การที่ผู้ตายด่าว่าจำเลยถึงโคตรพ่อ โคตรแม่ ทั้ง ๆ ที่จำเลยเป็นผู้ให้ความอุปการะช่วยเหลือผู้ตายตลอดมาจนจำเลยระงับอารมณ์ไว้ไม่ได้และใช้อาวุธปืนที่จำเลยมีติดตัวอยู่ยิงผู้ตายเพียง 1 นัด และผู้ตายถึงแก่ความตายนั้น พอถือได้ว่าจำเลยได้กระทำความผิดไปโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 72 ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีมาชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์จำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share