คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5855/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คดีความผิดต่อ พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2497 แม้กฎหมายกำหนดโทษจำคุกไว้ แต่เป็นความผิดอันเกิดจากความรับผิดของบุคคลในทางแพ่ง เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพมาตั้งแต่ต้นทั้งโจทก์ได้รับชำระหนี้บางส่วนเป็นจำนวนกว่าครึ่งหนึ่งของหนี้สินทั้งหมด สำหรับหนี้ส่วนที่ค้างชำระโจทก์ก็อาจบังคับเอากับจำเลยในทางแพ่งได้อีกเมื่อศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย จึงสมควรรอการลงโทษจำเลยไว้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 เรียงกระทงลงโทษ จำคุกกระทงละ 1 ปี รวม 5 กระทงจำคุก 5 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน เนื่องจากโจทก์ได้รับเงินจากจำเลยไปแล้วเป็นเงิน 862,300.15 บาท และไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน เห็นสมควรให้โอกาสจำเลยกลับประพฤติตนเป็นพลเมืองดีต่อไป จึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 คำขอนับโทษต่อให้ยก
โจทก์อุทธรณ์ขอไม่ให้รอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหามาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาว่าควรพิพากษาลงโทษจำเลยไปทันทีหรือรอการลงโทษไว้ เห็นว่าคดีนี้แม้กฎหมายจะกำหนดให้มีโทษจำคุกไว้ด้วยก็ตาม แต่เป็นความผิดอันเกิดขึ้นจากความรับผิดของบุคคลในทางแพ่งคดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพมาตั้งแต่ต้นเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาของศาลเป็นอย่างยิ่งทั้งโจทก์ได้รับชำระหนี้แล้วบางส่วนเป็นจำนวน 862,300.15 บาทจากหนี้สินทั้งสิ้น 1,750,000,000 บาท ซึ่งเป็นจำนวนกว่าครึ่งหนึ่งของหนี้สินทั้งหมด สำหรับหนี้ส่วนที่ค้างชำระ โจทก์อาจขอบังคับเอากับจำเลยในทางแพ่งได้อีก การที่จำเลยต้องคำพิพากษาถึงจำคุกแม้รอการลงโทษไว้ ก็พอที่จะทำให้จำเลยสำนึกในความผิดที่ได้กระทำแล้ว…”
พิพากษายืน.

Share