แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
พยานโจทก์เป็นเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. และเจ้าพนักงานตำรวจต่างกระทำการตามหน้าที่ ไม่มีสาเหตุกับจำเลยที่ 3 มาก่อนเบิกความได้ข้อเท็จจริงที่เชื่อมโยงและสอดคล้องต้องกันนับตั้งแต่การสืบทราบว่าจำเลยที่ 3 มีพฤติการณ์ในการค้าและผลิตเมทแอมเฟตามีน วันเกิดเหตุได้นำของกลางไปส่งให้จำเลยที่ 1ตรวจค้นรถที่จำเลยที่ 3 กับพวกนั่งมาพบเงินและเมทแอมเฟตามีนในกระเป๋าถือของจำเลยที่ 3 และเมื่อตรวจค้นบ้านของจำเลยที่ 3ก็พบเมทแอมเฟตามีนอีกจำนวนหนึ่ง ทั้งชั้นจับกุมจำเลยที่ 3ให้การรับสารภาพ พยานหลักฐานโจทก์จึงฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยที่ 3 ได้ร่วมกับพวกกระทำผิดตามฟ้อง.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งหกตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4,13,62,89,106,116ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 4 (พ.ศ.2520) เรื่อง ระบุชื่อและจัดแบ่งประเภทวัตถุออกฤทธิ์ตามความในพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 ลงวันที่ 18 มกราคม 2520 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33,83,91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 6) พ.ศ.2526 มาตรา 4 ริบของกลางทั้งหมดด้วย
จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ ส่วนจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5ที่ 6 ให้การปฎิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานผลิตและมีแอมเฟตามีน จำนวน 175 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิต และประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 13ประกอบมาตรา 89 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายบทเดียวกัน ลงโทษตามมาตรา 13 ประกอบมาตรา 89 จำคุก 15 ปี และมีความผิดฐานมีแอมเฟตามีน จำนวน 1,868 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามมาตรา 13 ประกอบมาตรา 89 อีกกระทงหนึ่ง จำคุก 15 ปี เป็นจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 30 ปีจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 ที่ 6 มีความผิดฐานร่วมกันผลิตแอมเฟตามีนชนิดเกล็ด จำนวน 2,048 กรัม และชนิดเม็ดจำนวน 2,800 เม็ด และฐานร่วมกันมีแอมเฟตามีนจำนวนดังกล่าวไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และร่วมกันจำหน่ายแอมเฟตามีนจำนวน 1 ถุงน้ำหนัก 1,868 กรัม ตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 13 ประกอบมาตรา 89 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายบทเดียวกัน ลงโทษตามมาตรา 13 ประกอบมาตรา 89 จำคุกจำเลยที่ 2ที่ 3 คนละ 15 ปี จำเลยที่ 5 ที่ 6 เป็นเพียงผู้ช่วยเหลือจำเลยที่ 2ที่ 3 ควรลงโทษสถานเบา จำคุกจำเลยที่ 5 ที่ 6 คนละ 8 ปี จำเลยที่ 1ที่ 3 ที่ 5 ที่ 6 รับสารภาพในชั้นจับกุม จำเลยที่ 2 รับสารภาพในชั้นจับกุม จำเลยที่ 2 รับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 87 ลดโทษให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 5 ที่ 6 คนละหนึ่งในสาม และลดโทษให้จำเลยที่ 2 กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 20 ปีจำเลยที่ 2 มีกำหนด 7 ปี 6 เดือน จำเลยที่ 3 มีกำหนด 10 ปี จำเลยที่ 5 ที่ 6 คนละ 5 ปี 4 เดือน ยกฟ้องจำเลยที่ 4 ริบของกลางทั้งหมดนอกจากเงินสดให้ริบจำนวน 86,000 บาท ส่วนที่เกินให้คืนจำเลยที่ 3
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งหกทุกกรรมตามฟ้อง
จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 5 ที่ 6 อุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 5ที่ 6 มีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพ.ศ.2518 มาตรา 4 มาตรา 13 วรรคหนึ่ง มาตรา 89 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 89 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานผลิตเมทแอมเฟตามีน จำคุก 10 ปี ฐานมีไว้เพื่อขายซึ่งเมทแอมเฟตามีนจำคุก 10 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 20 ปี ลงโทษจำเลยที่ 2ฐานผลิตเมทแอมเฟตามีน จำคุก 10 ปี ฐานขายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 10 ปีรวมจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 20 ปี ลงโทษจำเลยที่ 3 ฐานร่วมกับจำเลยที่ 2 ขายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 10 ปี ฐานมีไว้เพื่อขายซึ่งเมทแอมเฟตามีน จำคุก 10 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 20 ปี ลงโทษจำเลยที่ 5 ที่ 6 ฐานร่วมกับจำเลยที่ 2 ผลิตเมทแอมเฟตามีนเมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ควรลงโทษจำเลยที่ 5 ที่ 6สถานเบา จำคุกจำเลยที่ 5 ที่ 6 คนละ 8 ปี จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณา จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 5 ที่ 6ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้จำเลยที่ 2กึ่งหนึ่ง และจำเลย ที่ 1 ที่ 3 ที่ 5 ที่ 6 คนละหนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 13 ปี 4 เดือน จำเลยที่ 2 มีกำหนด 10 ปี จำเลยที่ 3 มีกำหนด 13 ปี 4 เดือน จำเลยที่ 5 ที่ 6 คนละ 5 ปี 4 เดือนริบของกลางทั้งหมด โดยเฉพาะเงินสดให้ริบ 86,000 บาท นอกจากนั้นคืนให้จำเลยที่ 3 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว โจทก์มีพยานที่รู้เห็นเกี่ยวกับการกระทำของจำเลยที่ 3 ในส่วนที่เกี่ยวกับเมทแอมเฟตามีนทั้งชนิดเกล็ดและชนิดเม็ดคือ นายมนตรี จิตมหาวงศ์นายสุนทร วินัยบดี เจ้าพนักงาน ป.ป.ส. และร้อยตำรวจเอกพงศ์พัฒน์ฉายาพันธ์ ซึ่งพยานโจทก์ทั้งสามคนนี้เป็นเจ้าพนักงานที่กระทำการตามหน้าที่ ไม่มีสาเหตุกับจำเลยที่ 3 เป็นส่วนตัวมาก่อน จึงไม่มีข้อที่จะทำให้ระแวงสงสัยว่าจะเบิกความปรักปรำให้ร้ายจำเลยที่ 3เชื่อได้ว่าจะเบิกความไปตามที่รู้เห็นจริง นายมนตรีเบิกความว่าเมื่อได้รับแจ้งจากสายลับว่าจำเลยที่ 1 มีพฤติการณ์ในการค้าและผลิตเมทแอมเฟตามีนหรือที่รู้กันทั่วไปว่ายาม้า ก็ทำการสืบสวนมาโดยตลอด ทราบว่าจำเลยที่ 1 รับหัวเชื้อยาม้ามาจากจำเลยที่ 3 กับพวกจึงให้นายสุนทรกับพวกซึ่งเป็นเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. ไปทำการสืบสวนที่บ้านของจำเลยที่ 3 ซึ่งอยู่ที่บ้านเลขที่ 1720/64 ถนนเจริญนครจนกระทั่งตอนเช้าวันเกิดเหตุให้รับแจ้งจากสายลับว่า จำเลยที่ 3 จะนำหัวเชื้อยาม้ามาส่งให้จำเลยที่ 1 เวลาประมาณ 18 นาฬิกา จึงได้วางแผนจับกุมโดยแบ่งกำลังเป็นสองส่วน นายสุนทรกับพวกไปเฝ้าที่บ้านจำเลยที่ 3 ส่วนนายมนตรีเฝ้าอยู่ที่หน้าบ้านเลขที่ 212/9ถนนลาดพร้าว ซอย 10 ซึ่งเป็นบ้านของจำเลยที่ 1 จนเวลาเกือบ18 นาฬิกา ได้รับแจ้งจากนายสุนทรที่ขับรถยนต์ล่วงหน้ามารออยู่หน้าปากซอย 10 ถนนลาดพร้าวว่า รถยนต์ผ่านเข้าไปทางบ้านจำเลยที่ 1 แล้ว ขณะนั้นนายมนตรีและกำลังของหน่วย ป.ป.ส. ซุ่มอยู่ห่างหน้าบ้านจำเลยที่ 1 ประมาณ 20 เมตรว่ามีรถยนต์ตู้มาจอดที่หน้าบ้านจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 ลงมาจากรถถือถุงพลาสติกขนาดใหญ่ลงมาด้วย เจ้าพนักงาน ป.ป.ส. จึงได้ถ่ายภาพไว้ตามภาพถ่ายหมาย จ.11จำเลยที่ 3 ไปกดกริ่งเรียกคนในบ้านแล้วยืนรออยู่ หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 มาเปิดประตูบ้ายจำเลยที่ 3 เข้าไปในบ้านจำเลยที่ 1สักครู่ก็ออกมา นายมนตรีกับเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. จึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานเข้าทำการจับกุมทำการตรวจค้นภายในบ้านจำเลยที่ 1 พบเมทแอมเฟตามีนหนักประมาณ 2 กิโลกรัม ที่จำเลยที่ 3นำมาส่งให้จำเลยที่ 1 ซุกซ่อนอยู่ในปี้บข้าวสาร ได้ถ่ายภาพไว้ตามภาพถ่ายหมาย จ.13 คันรถยนต์ที่จำเลยที่ 3 กับพวกนั่งมาพบเมทแอมเฟตามีนชนิดเกล็ด 1 ถุง พลาสติก หนักประมาณ 200 กรัม และเงินสดจำนวนแสนบาทเศษอยู่ในกระเป๋าถือ ของจำเลยที่ 3 เงินจำนวนดังกล่าวมีปึกหนึ่งจำนวน 86,000 บาท มัดด้ายหนังสติ๊ก นายสุนทรเบิกความว่า เป็นผู้ไปสังเกตการณ์อยู่ที่หน้าบ้านจำเลยที่ 3 และได้พบกับร้อยตำรวจเอกพงศ์พัฒน์ซึ่งไปสังเกตการณ์ที่หน้าบ้านจำเลยที่ 3 ตามทางสืบสวนได้ความว่าจำเลยที่ 3 มีพฤติการณ์ในการผลิตและจำหน่ายยาม้า ในวันเกิดเหตุหลังจากที่จำเลยที่ 3 นั่งรถยนต์ตู้ออกจากบ้านมาแล้ว นายสุนทรขับรถยนต์ล่วงหน้ามารออยู่ที่ปากซอยลาดพร้าว 10 หลังจากจับกุมจำเลยที่ 3 ได้แล้ว วันรุ่งขึ้นนายสุนทรได้พาจำเลยที่ 3 ไปค้นที่บ้านของจำเลยที่ 3 ที่ถนนเจริญนครโดยใช้กุญแจที่จำเลยที่ 3 มีอยู่ไขประตูบ้านและไขตู้พบเมทแอมเฟตามีน 14 ถุง ถุงละ 200 เม็ด รวมทั้งหมด 2,800 เม็ดอยู่ในลิ้นชักโต๊ะ ที่เม็ดมีตราหัวม้า ร้อยตำรวจเอกพงศ์พัฒน์เบิกความว่า วันเกิดเหตุไปสังเกตการณ์ที่หน้าบ้านจำเลยที่ 3 ตามที่สืบทราบมาว่าเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายยาม้าได้พบกับนายสุนทรเจ้าพนักงานป.ป.ส. จึงได้ร่วมมือกันดำเนินการเพื่อจับกุม เมื่อรถยนต์ของจำเลยที่ 3 ออกจากบ้านมาแล้ว ร้อยตำรวจเอกพงศ์พัฒน์ก็ขับรถยนต์สะกดรอยตามมา ส่วนนายสุนทรล่วงหน้ามาก่อนเมื่อเจ้าพนักงาน ป.ป.ส.จับกุมจำเลยที่ 3 กับพวกแล้ว ได้ร่วมตรวจค้นรถยนต์คันที่จำเลยที่ 3นั่งมาด้วย พบเมทแอมเฟตามีนชนิดเกล็ดหนัก 200 กรัม และเงินสดจำนวนแสนบาทเศษอยู่ในกระเป๋าถือของจำเลยที่ 3 และได้บันทึกปากคำจำเลยที่ 3 ไว้ จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพข้อเท็จจริงตามคำของพยานโจทก์ทั้ง 3 ปากดังกล่าว เห็นได้ว่ามีข้อเท็จจริงเชื่อมโยงและสอดคล้องต้องกัน เฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับเมทแอมเฟตามีนชนิดเม็ดที่ค้นได้ที่บ้านจำเลยที่ 3 ชนิดเกล็ดที่ค้นได้ที่กระเป๋าถือของจำเลยที่ 3 และชนิดเกล็ดที่จำเลยที่ 3 นำไปส่งให้จำเลยที่ 1 และเงินที่ได้จากการขายเมทแอมเฟตามีนชนิดเกล็ดจำนวน 1 ถุง ที่ค้นได้จากกระเป๋าถือของจำเลยที่ 3 ที่มัดไว้รวม 86,000 บาท คำของพยานโจทก์ทั้งสามจึงน่าเชื่อถือ ข้อที่จำเลยที่ 3 นำสืบว่าของทั้งหมดเป็นของจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 3 ไม่ทราบเรื่องเลยนั้นไม่มีเหตุผลให้รับฟังได้เพราะเมทแอมเฟตามีนชนิดเม็ดจำนวน 2,800 เม็ดที่ใส่ถุงเล็ก ๆ ถุงละ 200 เม็ด จำนวน 14 ถุง นั้น ได้ความว่าอยู่ในลิ้นชักโต๊ะที่บ้านของจำเลยที่ 3 และเจ้าพนักงานต้องใช้กุญแจของจำเลยที่ 3 ไขจึงได้พบของกลางส่วนนี้ กรณีจึงเห็นได้ว่าเป็นไปไม่ได้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จำเลยที่ 3 จะไม่ทราบเรื่องถึงการที่ของกลางจำนวนนี้มาอยู่ในสถานที่ที่ค้นพบได้อย่างไร ส่วนเมทแอมเฟตามีนชนิดเกล็ดจำนวน 200 กรัมที่ค้นพบได้ในกระเป๋าถือของจำเลยที่ 3เองนั้น ข้อนี้จำเลยที่ 3 ก็ไม่นำสืบให้เห็นว่าของดังกล่าวมาอยู่ในกระเป๋าถือของตนโดยที่ตนไม่รู้เห็นอย่างไร สำหรับเมทแอมเฟตามีนชนิดเกล็ดจำนวน 1 ถุงพลาสติกใหญ่นั้น ตามที่ปรากฎในภาพถ่ายหมาย จ.11ภาพที่ปรากฎมีลักษณะแสดงให้เห็นว่ามีการถ่ายภาพโดยที่คนที่ปรากฎในภาพไม่รู้ตัว ข้อที่จำเลยที่ 3 อ้างว่าถูกบังคับให้ถ่ายภาพนั้นรับฟังไม่ได้ และในชั้นที่มีการบันทึกคำให้การของจำเลยที่ 3ตามเอกสารหมาย จ.7 จำเลยที่ 3 ก็รับว่านำเมทแอมเฟตามีนจำนวนดังกล่าวไปขายให้จำเลยที่ 1 ในราคา 86,000 บาท ตามบันทึกคำรับสารภาพของจำเลยที่ 1 เอกสารหมาย จ.24 จำเลยที่ 1 ก็รับว่าจำเลยที่ 3 นำเมทแอมเฟตามีนมาขายให้ในวันเกิดเหตุ 2 กิโลกรัม ราคากิโลกรัมละ43,000 บาท พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาจึงฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยที่ 3 ได้ร่วมกับพวกมีเมทแอมเฟตามีนชนิดเกล็ดและชนิดเม็ดไว้เพื่อขายและขายเมทแอมเฟตามีนชนิดเกล็ดจริง…”
พิพากษายืน.