คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2348/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงเทศบาลสายรัชดาภิเษกฯ เป็นการเวนคืนเพื่อสร้างทางหลวง จึงต้องตกอยู่ในบังคับแห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 และการกำหนดค่าทดแทนจะต้องถือตามราคาธรรมดาซื้อขายกันในท้องตลาดในวันที่พระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงดังกล่าวใช้บังคับ ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295ข้อ 76(2) ไม่ใช่ถือตามราคาธรรมดาที่ซื้อขายกันในท้องตลาดในวันที่ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 23 ใช้บังคับ เพราะพระราชกฤษฎีกาฉบับดังกล่าวออกมาใช้บังคับแทนประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 23 ซึ่งหมดอายุบังคับใช้ และมิได้ถือตามราคาที่ดินตามบัญชีกำหนดจำนวนราคาตามราคาตลาดเพื่อใช้เป็นทุนทรัพย์สำหรับเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ในการกำหนดค่าทดแทนที่ดินที่ถูกเวนคืนให้แก่โจทก์จำเลยไม่ได้ถือตามราคาที่ดินในวันที่มีพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงสายรัชดาภิเษก ฯ พ.ศ. 2524 ใช้บังคับทำให้โจทก์ได้รับค่าทดแทนต่ำไปขอให้จำเลยจ่ายค่าทดแทนในส่วนที่ต่ำไปดังกล่าวแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่าจำเลยได้กำหนดค่าทดแทนตามราคาตลาดเพื่อใช้เป็นทุนทรัพย์สำหรับเรีกย เก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกกรมซึ่งเป็นธรรมแก่โจทก์แล้วขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า ให้จำเลยทั้งสองใช้เงิน 182,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 20 ธันวาคม2524 จนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 64067เลขที่ดิน 1489 ตำบลคลองตัน (ที่ 11 พระนครฝั่งเหนือ)อำเภอพระโขนง จังหวัดพระนคร เนื้อที่ 13 ตารางวา พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นอาคารคอนกรีต 3 ชั้น เลขที่ 3/2 แขวงคลองเตย เขตพระโขนงกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2514 รัฐบาลได้ออกประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 23 ลงวันที่ 18 ธันวาคม 2514 กำหนดแนวทางหลวงแผ่นดินสายรัชดาภิเษกตอนตำบลวัดท่าพระ- ตำบลสามเสนนอกให้มีผลใช้บังคับเช่นเดียวกับพระราชกฤษฎีกาที่ออกตามความในมาตรา 56แห่งพระราชบัญญัติทางหลวง พุทธศักราช 2482 ต่อมาวันที่ 18ธันวาคม 2524 มีการตราพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงเทศบาลสายรัชดาภิเษก ตอนแขวงวัดท่าพระ – แขวงสามเสนนอกพ.ศ. 2524 และเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2526 ได้ออกพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างทางหลวงเทศบาลสายรัชดาภิเษก ฯพ.ศ. 2526 ที่ดินและตึกของโจทก์อยู่ในเขตที่ดินที่ถูกเวนคืนด้วยคณะกรรมการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ได้กำหนดเงินค่าทดแทนที่ดินให้โจทก์ตารางวาละ 6,000 บาท เป็นเงิน 78,000 บาท และกำหนดเงินค่าทดแทนในการรื้อถอนอาคารที่ปลุกในที่ดินให้โจทก์เป็นเงิน 349,294.10 บาทโจทก์ได้รับเงินค่าทดแทนสำหรับที่ดินตามที่คณะกรรมการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ได้กำหนดไปแล้ว แต่สงวนสิทธิที่จะเรียกร้องเอาส่วนที่ยังขาดอยู่ ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยทั้งสองประการแรกมีว่าเงินค่าทดแทนที่ดินของโจทก์ควรจะถือเอาราคาทรัพย์สินตามราคาธรรมดาที่ซื้อขายในท้องตลาด วันเดือนละปีใดเป็นเกณฑ์กำหนดเห็นว่าการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ที่เกิดข้อพิพาทเป็นการเวนคืนตามพระราชบัญญัติอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างทางหลวงเทศบาลสายรัชดาภิเษก ในท้องที่แขวงวัดท่าพระ เขตบางกอกใหญ่แขวงตลาดพลู แขวงบุคคโล เขตธนบุรี แขวงคลองเตย เขตพระโขนงแขวงสามเสนใน เขตพญาไท แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวางแขวงลาดยาว เขตบางเขน และแขวงบางซื่อ เขตดุสิต กรุงเทพมหานครพ.ศ. 2526 โดยมีการออกพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงสายดังกล่าวไว้ตามพระราชกฤษฎีกากำหนด แนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงเทศบาลสายรัชดาภิเษก ตอนแขวงวัดท่าพระ-แขวงสามเสนนอกพ.ศ. 2528 เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2524 จึงตกอยู่ในบังคับแห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 294 ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2515 ซึ่งมีบทบัญญัติในข้อ 63 ให้นำกฎหมายว่าด้วยการเวณคืนอสังหาริมทรัพย์มาใช้โดยอนุโลม เว้นแต่ที่ได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ แต่ตามพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างทางหลวงเทศบาลสายรัชดาภิเษก ฯพ.ศ. 2526 ไม่มีบทบัญญัติเป็นพิเศษในเรื่องเงินค่าทดแทนไว้ จึงต้องนำประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ดังกล่าวเกี่ยวกับเงินค่าทดแทนในการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างหรือขยายทางหลวงมาใช้บังคับซึ่งได้บัญญัติไว้ในข้อ 76 ว่า “เงินค่าทดแทนนั้น ถ้าไม่มีบทบัญญัติเป็นพิเศษในพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ซึ่งออกตามข้อ 63แล้วให้กำหนดเท่าราคาของทรัพย์สินตามราคาธรรมดาที่ซื้อขายในท้องตลาดในวันดังต่อไปนี้ (1) ในวันที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนใช้บังคับ (2) ในวันที่พระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงใช้บังคับ ในกรณีที่ได้ตราพระราชกฤษฎีกาเช่นว่านั้น (3) ในวันที่พระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ใช้บังคับ ในกรณีที่ได้ตราพระราชบัญญัติเช่นว่านั้น” เห็นได้ว่าวิธีการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ข้อ 63 ข้อ 70 และข้อ 78 มีวิธีปฏิบัติคือจะต้องกระทำโดยออกพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ แต่ทางราชการอาจจะออกหรือตราพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ดินที่ที่จะเวนคืน หรือพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงก่อนก็ได้และในกรณีเช่นนี้การกำหนดเงินค่าทดแทนจึงให้ถือเอาตรา ธรรมดาที่ซื้อขายกันในท้องตลาดตามข้อ 76 (1) หรือ (2) แล้วแต่กรณี เมื่อปรากฏว่าในการเวนคืนที่ดินของโจทก์คดีนี้ได้มีการตราพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงเทศบาลสายรัชดาภิเษก ตอนแขวงวัดท่าพระ-แขวงสามเสนพ.ศ. 2534 ออกใช้บังคับ โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 19ธันวาคม 2524 ให้มีผลใช้บังคับวันที่ 20 ธันวาคม 2524 ดังนั้นราคาธรรมดาที่ซื้อขายกันในท้องตลาดต้องถือราคาในวันที่ 20ธันวาคม 2524 จำเลยจะกำหนดเงินค่าทดแทนโดยถือตามราคาธรรมดาที่ซื้อขายในท้องตลาดในวันที่ 20 ธันวาคม 2514 อันเป็นวันที่ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 23 มีผลใช้บังคับหาได้ไม่ เพราะประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 23 มีผลใช้บังคับเช่นเดียวกับพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่ออกตามความในมาตรา 56 แห่งพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ. 2482 ซึ่งถูกยกเลิกไปแล้ว จึงต้องตกอยู่บังคับแห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ข้อ 79 ที่ให้ใช้ได้มีกำหนด 10 ปี ดังนั้นประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 23 จึงหมดอายุบังคับใช้เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2524 การที่ได้มีการตราพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงเทศบาลสายรัชดาภิเษก ตอนแขวงวัดท่าพระ แขวงสามเสนนอกพ.ศ. 2524 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2524 เป็นต้นไป จึงเป็นการออกเพื่อใช้บังคับแทนประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 23ที่ใกล้จะสิ้นผลแล้วนั่นเอง หาใช่เป็นการต่ออายุการบังคับใช้อันเป็นการขัดต่อประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ข้อ 78 แต่ประการใดไม่ ที่จำเลยทั้งสองกำหนดเงินค่าทดแทนที่ดินของโจทก์ตามราคาธรรมดาที่ซื้อขายในท้องตลาดของปี 2514 ตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 23 ที่สิ้นผลบังคับแล้ว จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่เป็นธรรมต่อโจทก์ ทั้งจะกำหนดค่าทดแทนโดยถือราคาที่ดินตามบัญชีกำหนดจำนวนราคาที่ดินตามราคาตลาดเพื่อให้เป็นทุนทรัพย์สำหรับเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมก็ไม่ชอบด้วยความเป็นธรรม เพราะเป็นราคาที่กำหนดไว้เพื่อให้เจ้าพนักงานของรัฐใช้เป็นทุนทรัพย์ที่จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม หาใช่ราคาธรรมดาที่ซื้อขายกันในท้องตลาดของบุคคลทั่วไปไม่ ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น ฯลฯ
พิพากษายืน.

Share