คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 240/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การฟ้องขอให้ลงโทษตามกฎหมายอาญา มาตรา336(2) นั้นโจทก์จะต้องบรรยายในฟ้องด้วยว่า จำเลยมิได้รับอนุญาตอันชอบด้วยกฎหมายมิฉะนั้นย่อมจะเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ลงโทษจำเลยไม่ได้
ที่ชายทะเลซึ่งน้ำท่วมถึงนั้นหาเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินหรือทางสาธารณะเสมอไปไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกสมคบกันปักรั้วกั้นที่ชายตลิ่งชายทะเลน้ำทะเลท่วมถึง ซึ่งอยู่ข้างสะพานเสริมสันติ อันเป็นทางสาธารณะสำหรับใช้นำเรือเข้าออก ทำให้สาธารณชนไม่สามารถนำเรือเข้าออกได้โดยจำเลยมีเจตนาที่จะเอาที่ตรงนั้นเป็นประโยชน์ส่วนตัวผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอผู้มีอำนาจหน้าที่ได้สั่งให้จำเลยรื้อถอนแล้วแต่ไม่ยอมรื้อตามคำสั่งขอให้ลงโทษตาม กฎหมายอาญา มาตรา 334(2) 336(1) พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 มาตรา 122 พระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแผ่นดิน พ.ศ. 2495 มาตรา 37

จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยปักหลักทำรั้วในที่ดินมีโฉนดของจำเลยไม่เป็นการกีดขวางทางสาธารณะ คำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ศาลชั้นต้นฟังว่าที่พิพาทมีสภาพน้ำทะเลท่วมใช้เดินเรือได้จนทางนั้นเป็นร่องน้ำสำหรับเดินเรือแสดงว่าเจ้าของได้สละหรืออุทิศให้เป็นทางสาธารณะจึงตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ฟังได้ว่าเป็นทางหลวงตามกฎหมายอาญา มาตรา 6(11) จำเลยทำรั้วกั้นจึงผิด มาตรา 236(2) ศาลลงโทษตามบทที่ถูกได้แม้โจทก์จะอ้าง มาตรา 336(2) จำเลยมีผิดตาม มาตรา 334(2) ด้วย พิพากษาปรับกระทงแรก 10 บาท กระทงหลัง 40 บาท

จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่าการที่จะลงโทษจำเลยตาม มาตรา 336(2) ได้นั้นโจทก์จะต้องบรรยายฟ้องด้วยว่า จำเลยมิได้รับอนุญาตอันชอบด้วยกฎหมายเพราะเป็นองค์ประกอบแห่งความผิด ฟ้องโจทก์จึงไม่สมบูรณ์ทั้งฟ้องโจทก์ก็ไม่มีข้อความพอที่จะแสดงว่าโจทก์ประสงค์จะลงโทษตาม มาตรา 336(2) ส่วนข้อหาฐานผิดคำสั่งเจ้าพนักงานนั้นเห็นว่าที่ชายตลิ่งซึ่งน้ำทะเลขึ้นถึงนั้นหาใช่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเสมอไปไม่และข้อเท็จจริงที่ฟังมายังไม่พอถือได้ว่าที่พิพาทเป็นทางหลวงหรือมีการอุทิศที่ดินให้เป็นสาธารณสมบัติไปแล้วไม่ คดีนี้เป็นคดีอาญาโจทก์ต้องสืบพิสูจน์ให้ชัดแจ้ง จำเลยหามีผิดตามบท กฎหมายที่โจทก์อ้าง พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

Share