คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5846/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หนี้ของจำเลยเกิดขึ้นก่อนที่จำเลยหย่ากับผู้ร้อง เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้างว่าหนี้ของจำเลยรายนี้เป็นหนี้ร่วมระหว่างจำเลยกับผู้ร้องเพื่อให้ผู้ร้องต้องรับผิดชำระหนี้จากสินสมรสและสินส่วนตัว โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบให้ได้ความตามที่กล่าวอ้างเมื่อโจทก์ไม่สามารถนำสืบให้รับฟังได้เช่นนั้น ผู้ร้องย่อมไม่ต้องผูกพันในมูลหนี้ดังกล่าวและผู้ร้องมีสิทธิร้องขอกันส่วนของตนในที่ดินสินสมรสที่โจทก์นำยึดเพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลได้มีคำพิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวน 570,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาโจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 997 ตำบลบางแก้ว อำเภอเมืองอ่างทอง จังหวัดอ่างทอง พร้อมกับบ้านเลขที่ 32 หมู่ที่ 11 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นสามีของจำเลย จดทะเบียนสมรสกัน มีบุตรร่วมกัน 4 คน วันที่ 10 สิงหาคม 2531 ผู้ร้องกับจำเลยได้จดทะเบียนหย่า โดยระบุว่าสินสมรสของจำเลยขอยกให้บุตรทั้งสี่วันที่ 11 กันยายน 2533 ผู้ร้องได้รับแจ้งการยึดทรัพย์จากเจ้าพนักงานบังคับคดี ซึ่งโจทก์ฟ้องคดีนี้หลังจากที่ผู้ร้องกับจำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภรรยากันแล้ว ผู้ร้องมิได้เป็นลูกหนี้ร่วมรู้เห็นหรือร่วมมือเรื่องการค้าขายเพชรทองระหว่างโจทก์จำเลยเมื่อผู้ร้องกับจำเลยหย่าขาดกันแล้วทรัพย์ที่ยึดจึงเป็นส่วนของผู้ร้องครึ่งหนึ่งเพราะเป็นสินสมรส โจทก์ชอบที่จะบังคับเอาแก่ส่วนของจำเลย ขอให้มีคำสั่งกันส่วนเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดให้ผู้ร้องครึ่งหนึ่งของราคาที่ขายได้
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ทรัพย์ที่ยึดเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับผู้ร้อง จำเลยกับผู้ร้องเกรงว่าจะถูกโจทก์ฟ้องบังคับคดีจึงแกล้งจดทะเบียนหย่ากันทั้งที่คงอยู่กินกันฉันสามีภรรยา การหย่าจึงเป็นเจตนาลวง นิติกรรมตกเป็นโมฆะ หนี้ที่โจทก์ฟ้องคดีนี้เกิดขึ้นก่อนการหย่า ถือได้ว่าเป็นหนี้ร่วมระหว่างผู้ร้องกับจำเลย เพราะจำเลยได้นำเงินของตนและผู้ร้องมาลงทุนซื้อสินค้าจากโจทก์ เงินที่จำเลยทำมาหาได้ก็นำไปใช้จ่ายในครอบครัวของจำเลยและผู้ร้อง เนื่องจากจำเลยมิได้ประกอบอาชีพอื่นใด จึงเป็นหนี้เกี่ยวกับการจัดกิจการจำเป็นในครอบครัว หนี้เกี่ยวกับสินสมรส หนี้เกิดขึ้นเนื่องจากการงานซึ่งสามีภรรยาทำด้วยกัน หรือหนี้ซึ่งสามีหรือภรรยาก่อขึ้นเพื่อประโยชน์ตนฝ่ายเดียว แต่อีกฝ่ายให้สัตยาบัน จึงเป็นลูกหนี้ร่วมกันขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้กันเงินครึ่งหนึ่งที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 997 ตำบลบางแก้ว อำเภอเมืองอ่างทองจังหวัดอ่างทอง พร้อมบ้านเลขที่ 32 หมู่ที่ 11 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวที่ยึดให้แก่ผู้ร้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า มูลหนี้ตามคำพิพากษาคดีนี้เกิดขึ้นระหว่างที่ผู้ร้องและจำเลยยังเป็นสามีภรรยากัน โจทก์ฟ้องคดีนี้หลังจากผู้ร้องกับจำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภรรยากันแล้วที่ดินที่โจทก์ยึดมีชื่อผู้ร้องถือกรรมสิทธิ์ โดยผู้ร้องจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ส่วนของจำเลยให้แก่บุตร 4 คน เมื่อวันที่ 31สิงหาคม 2533 ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่าหนี้ตามคำพิพากษาคดีนี้เป็นหนี้ร่วมระหว่างผู้ร้องกับจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1490 หรือไม่ เห็นว่าโจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้างว่าหนี้ของจำเลยรายนี้เป็นหนี้ร่วมระหว่างจำเลยกับผู้ร้องซึ่งเป็นสามีภรรยา ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1490 เพื่อจะให้ผู้ร้องต้องรับผิดชดใช้หนี้นี้จากสินสมรสและสินส่วนตัว ดังปรากฏตามคำคัดค้านของโจทก์ โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบแสดงตามข้อกล่าวอ้างเช่นนั้น กล่าวคือ โจทก์มีภาระการพิสูจน์ข้อเท็จจริงให้ปรากฏว่าหนี้ดังกล่าวเป็นหนี้ร่วมระหว่างจำเลยกับผู้ร้อง แต่ไม่ปรากฏจากการนำสืบของโจทก์ว่าหนี้ที่จำเลยก่อนั้นเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นในระหว่างสมรสเกี่ยวแก่การจัดการบ้านเรือนและจัดหาสิ่งจำเป็นสำหรับครอบครัว การอุปการะเลี้ยงดูตลอดถึงการรักษาพยาบาลบุคคลในครอบครัวและการศึกษาของบุตรตามสมควรแก่อัตถภาพหนี้ที่เกี่ยวข้องกับสินสมรส หนี้ที่เกิดขึ้นเนื่องจากการงานซึ่งผู้ร้องและจำเลยทำด้วยกันหรือหนี้ที่จำเลยก่อขึ้นเพื่อประโยชน์ตนฝ่ายเดียว แต่ผู้ร้องได้ให้สัตยาบัน ดังนั้นข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ตามคำคัดค้านของโจทก์ว่า หนี้ตามคำพิพากษาคดีนี้เป็นหนี้ร่วมระหว่างจำเลยกับผู้ร้อง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1490ผู้ร้องจึงไม่ต้องผูกพันในมูลหนี้ดังกล่าว และผู้ร้องมีสิทธิร้องขอกันส่วนของตนได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287
พิพากษายืน

Share