แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
เงินที่พิพาท 5,000 บาท เป็นเงินที่จำเลยที่ 2 เสมียนตราอำเภอยืมจากจำเลยที่ 1 เสมียนปกครอง และเงินค่าธรรมเนียมอาวุธปืน 5,970 บาท เป็นเงินที่บุคคลอื่นนำมาฝากจำเลยที่ 2 ไว้เป็นการส่วนตัวมิใช่จำเลยที่ 2 รับเงินจากจำเลยที่ 1 และบุคคลอื่นในหน้าที่ราชการเงินทั้งสองจำนวนดังกล่าวจึงไม่ใช่ทรัพย์ที่จำเลยที่ 2 มีหน้าที่จัดการหรือรักษาตามความหมายของ มาตรา 147
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 จำคุกคนละ 5 ปี ลดโทษจำเลยที่ 1 คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า เมื่อระหว่างวันที่ 6ตุลาคม 2518 ถึงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2518 จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเสมียนปกครองอำเภอปัว ได้รับคำขออนุญาตจดทะเบียนอาวุธปืน ทำหน้าที่เกี่ยวกับทะเบียนอาวุธปืนรวม 919 ราย และได้เรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมจดทะเบียนจากผู้ยื่นคำขอไว้รวม 78,900 บาท อันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบที่ให้เก็บเงินต่อเมื่อนายอำเภอซึ่งเป็นนายทะเบียนได้สั่งอนุญาตตามคำขอแล้ว ต่อมาวันที่ 19 ถึง 23 เมษายน2519 นายประจัญพนักงานตรวจเงินแผ่นดินกับพวก ได้ตรวจสอบบัญชีการเงินของแผนกปกครองอำเภอปัว ปรากฏว่าเงินค่าธรรมเนียมจดทะเบียนอาวุธปืนดังกล่าวไม่ได้ลงในบัญชีของเสมียนตรา และไม่ได้เก็บไว้ในที่เก็บเงินของทางราชการคดีมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 2 ได้รับเงินค่าธรรมเนียมจดทะเบียนอาวุธปืนไว้สองครั้งคือ ครั้งแรก 5,000 บาท ครั้งที่สอง 5,970 บาทรวมเป็นเงิน 10,970 บาท จำเลยที่ 2 ได้เบียดบังยักยอกเอาเงินสองจำนวนดังกล่าวไปหรือไม่
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ได้รับเงิน 5,000 บาทจากจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2518 เป็นเงินค่าธรรมเนียมอาวุธปืนอันเป็นเงินของทางราชการที่จำเลยที่ 1 นำส่งมอบให้จำเลยที่ 2 ในหน้าที่ราชการนั้นเห็นว่าโจทก์ไม่มีพยานรู้เห็นหรือหลักฐานเช่นใบนำส่งเงินที่แสดงว่า จำเลยที่ 1นำส่งเงินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 ตามหน้าที่ นายประจัญพนักงานตรวจเงินแผ่นดินพยานโจทก์ก็เพียงแต่ทราบจากการสอบปากคำจำเลยที่ 1 เท่านั้น ดังปรากฏตามรายงานการตรวจสืบสวน ของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาคที่ 5 เอกสารหมาย ป.จ.2 แต่จำเลยที่ 2 นำสืบว่าเงินจำนวน 5,000 บาทนี้ เป็นเงินที่จำเลยที่ 2ยืมจากจำเลยที่ 1 ตามใบยืม เอกสารหมาย ล.6 และจำเลยที่ 2 ได้ใช้คืนให้จำเลยที่ 1แล้วเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2518 ตามใบรับเงินเอกสารหมาย ล.2 ซึ่งเอกสารทั้งสองฉบับที่จำเลยที่ 2 อ้างมีข้อความชัดว่าเป็นการยืมเงินกัน ฉะนั้นเงิน 5,000 บาทที่จำเลยที่ 2 ยืมจำเลยที่ 1 จึงหาใช่เป็นเงินค่าธรรมเนียมของทางราชการซึ่งจำเลยที่ 1นำส่งมอบให้จำเลยที่ 2 เก็บรักษาไว้ตามหน้าที่ไม่
ส่วนข้อที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ได้รับเงิน 5,970 บาท จากนายวิวัฒน์ปลัดอำเภอเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2518 เงินจำนวนนี้จำเลยที่ 1 เรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนอาวุธปืนเป็นเงินของทางราชการ และเป็นการส่งมอบเงินในหน้าที่ราชการนั้น ได้ความจากคำเบิกความของนายวิวัฒน์พยานโจทก์เองซึ่งเจือสมกับข้อนำสืบของจำเลยที่ 2 ว่า นายวิวัฒน์ได้เรียกเงิน5,970 บาทจากจำเลยที่ 1 ไปฝากจำเลยที่ 2 ไว้เป็นการส่วนตัว มิได้นำเงินดังกล่าวส่งให้จำเลยที่ 2 เก็บรักษาไว้ตามหน้าที่เสมียนตรา เพราะเป็นเงินค่าธรรมเนียมที่จำเลยที่ 1เรียกเก็บจากผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนอาวุธปืนก่อนที่นายอำเภอซึ่งเป็นนายทะเบียนจะมีคำสั่งอนุญาตตามคำขอ อันเป็นเงินที่เรียกเก็บไม่ถูกต้องตามระเบียบ และไม่มีใบเสร็จรับเงิน เงินเช่นนี้จะนำส่งคลังไม่ได้ และนายนิวัฒน์นำเงินมาฝากจำเลยที่ 2 ไว้โดยไม่มีใบนำส่งเงินตามระเบียบ ต่อมาภายหลังเมื่อนายอำเภอได้สั่งอนุญาตคำขอจดทะเบียนอาวุธปืนแล้ว นายนิวัฒน์จึงได้นำเงินค่าธรรมเนียมนี้กับค่าธรรมเนียมอื่นส่งจำเลยที่ 2 เป็นทางราชการพร้อมกับใบนำส่งเงินเอกสารหมาย ล.3 เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2519 โดยนายนิวัฒน์ได้หมายเหตุไว้ท้ายใบนำส่งเงินค่าธรรมเนียมอาวุธปืนที่นายนิวัฒน์ฝากเสมียนตราคือจำเลยที่ 2 ไว้ก่อนแล้วด้วย ตามรูปคดีเชื่อว่านายนิวัฒน์นำเงินค่าธรรมเนียม 5,970 บาทมาฝากจำเลยที่ 2 ให้เก็บรักษาไว้ก่อนเป็นการส่วนตัว ต่อมาภายหลังจึงนำเงินดังกล่าวส่งจำเลยที่ 2 ให้เก็บรักษาตามหน้าที่
เมื่อข้อเท็จจริงฟังว่า เงิน 5,000 บาท เป็นเงินที่จำเลยที่ 2 ยืมจากจำเลยที่ 1และเงินค่าธรรมเนียมอาวุธปืน 5,970 บาท เป็นเงินที่นายนิวัฒน์นำมาฝากจำเลยที่ 2ไว้เป็นการส่วนตัว มิใช่จำเลยที่ 2 รับเงินจากจำเลยที่ 1 และนายนิวัฒน์ที่นำส่งจำเลยที่ 2 ในหน้าที่ราชการดังกล่าวแล้ว เงินทั้งสองจำนวนนี้จึงมิใช่ทรัพย์ที่จำเลยที่ 2 มีหน้าที่จัดการหรือรักษาตามความหมายของประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 และตามพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมา ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้เบียดบังยักยอกเอาเงินสองจำนวนที่ตนมีหน้าที่เก็บรักษาไป จำเลยที่ 2ไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147”
พิพากษายืน