แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้อความที่เป็นข้อสำคัญในคดีในความผิดฐานเบิกความเท็จจะต้องเป็นข้อความที่อาจทำให้คู่ความแพ้ชนะกันในประเด็นแห่งคดีได้ ประเด็นแห่งคดีในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบนั้น ได้แก่โจทก์ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่อย่างไรสำหรับคำเบิกความของจำเลยที่ 2 ที่ว่า ร้านวีดีโอที่โจทก์กับพวกตรวจค้นเป็นของ ว. เช่าจากจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ก็แจ้งโจทก์ว่าให้เช่าไปแล้วพร้อมกับนำสัญญาเช่าให้ดูด้วย แล้วโจทก์สั่งให้จำเลยที่ 1 ไปสถานีตำรวจ เมื่อไปถึงโจทก์ให้พนักงานสอบสวนควบคุมตัวจำเลยที่ 1 นั้น แม้เป็นความเท็จ ความจริงไม่มีการนำเอาเอกสารสัญญาเช่ามาแสดง การจับกุมก็กระทำที่ร้านนั่นเองมิใช่ตั้งข้อหาที่สถานีตำรวจ แต่คดีก็ยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่มิชอบอย่างไร คงรับฟังได้แต่เพียงว่าโจทก์ได้รับแจ้งจากจำเลยที่ 1 แล้วว่า มีการให้เช่าร้านวีดีโอกันแล้วเท่านั้นมิได้หมายความเลยไปถึงว่า ความจริงเป็นดังที่จำเลยที่ 1 แจ้งแก่โจทก์ และโจทก์ทราบความจริงว่าเป็นเช่นนั้นแล้ว แต่ยังแกล้งตั้งข้อหาและจับกุมจำเลยที่ 1 ข้อความที่จำเลยที่ 2 เบิกความดังกล่าว จึงไม่เป็นข้อความที่อาจทำให้คู่ความแพ้ชนะกันในประเด็นแห่งคดีได้ คำเบิกความของจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นข้อสำคัญในคดีอันจะเป็นความผิดฐานเบิกความเท็จ.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 175, 177, 83, 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การปฏิเสธ ต่อมาโจทก์ถอนฟ้อง จำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177 วรรคสอง จำคุก 2 ปี
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 15พฤศจิกายน 2527 เวลากลางวัน โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจตำแหน่งรองสารวัตรแผนก 2 กองกำกับการ 2 กองปราบปราม กับพวกได้เข้าตรวจค้นร้านไทยสยามวีดีโอ ตามหมายค้นของผู้บังคับบัญชาและค้นพบม้วนวีดีโอเทปภาพยนต์ละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นซึ่งได้ร้องทุกข์ไว้ กับม้วนวีดีโอเทปภาพยนตร์ลามกอนาจาร จึงยึดเป็นของกลางและแจ้งข้อหาแก่จำเลยที่ 1 ว่า มีวีดีโอเทปภาพยนตร์ที่ละเมิดลิขสิทธิ์เพื่อประโยชน์ในทางการค้า กับมีวีดีโอเทปภาพยนตร์ลามกอนาจารไว้จำหน่าย จ่ายแจก และแสดงแก่ประชาชน แล้วนำของกลางพร้อมผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลวัดรวกดำเนินคดี ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ฟ้องโจทก์ที่ศาลอาญาธนบุรีในข้อหาว่า เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย ซึ่งในคดีดังกล่าวนั้นจำเลยที่ 2 ได้เบิกความเป็นพยานของจำเลยที่ 1ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่า ร้านวีดีโอที่โจทก์กับพวกตรวจค้นเป็นของนายวันชัยเช่าจากจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ก็แจ้งโจทก์ว่าให้เช่าไปแล้วพร้อมกับนำสัญญาเช่าให้ดูด้วย แล้วโจทก์สั่งให้จำเลยที่ 1ไปสถานีตำรวจ เมื่อไปถึงโจทก์ให้พนักงานสอบสวนคุมตัวจำเลยที่ 1คำเบิกความของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวเป็นความเท็จ ความจริงไม่มีการนำเอาเอกสารสัญญาเช่ามาแสดง การจับกุมก็กระทำที่ร้านนั่นเองมิใช่ตั้งข้อหาที่สถานีตำรวจ คดีดังกล่าวศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์จึงฟ้องคดีนี้
ปัญหาวินิจฉัยในชั้นฎีกามีเพียงว่า ข้อความที่จำเลยที่ 2เบิกความดังกล่าวเป็นข้อสำคัญในคดีหรือไม่ เห็นว่า ข้อความที่เป็นข้อสำคัญในคดีจะต้องเป็นข้อความที่อาจทำให้คู่ความแพ้ชนะกันในประเด็นแห่งคดีได้ ซึ่งประเด็นแห่งคดีในคดีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบนั้นได้แก่โจทก์ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่อย่างไร สำหรับคำเบิกความของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวแม้จะฟังได้ว่าเป็นความจริง คดีก็ยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่มิชอบอย่างไร คงรับฟังได้แต่เพียงว่าโจทก์ได้รับแจ้งจากจำเลยที่ 1 แล้วว่ามีการให้เช่าร้านวีดีโอกันแล้วเท่านั้น มิได้หมายความเลยไปถึงว่า ความจริงเป็นดังที่จำเลยที่ 1 แจ้งแก่โจทก์ และโจทก์ทราบความจริงว่าเป็นเช่นนั้นแล้วแต่ยังแกล้งตั้งข้อหาและจับกุมจำเลยที่ 1 ข้อความที่จำเลยที่ 2 เบิกความดังกล่าวจึงไม่เป็นข้อความที่อาจทำให้คู่ความแพ้ชนะกันในประเด็นแห่งคดีได้ คำเบิกความของจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นข้อสำคัญในคดี
พิพากษายืน.