คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 942/2533

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ว. บิดาโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลย แต่ยังชำระราคาไม่ครบถ้วน และยังมิได้จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่กัน เมื่อ ว.ถึงแก่ความตาย และโจทก์ได้ฟ้องบังคับให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ ดังนี้จำเลยมีหน้าที่จะต้องโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์และโจทก์ก็มีหน้าที่ต้องชำระค่าที่ดินที่ค้างชำระนั้นให้แก่จำเลยเพราะเป็นการชำระหนี้ตามสัญญาต่างตอบแทน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรนายวิทิต กลิ่นแก้วนพรัตน์นายวิทิตซื้อที่พิพาทจากจำเลยในราคา 9,000 บาท จำเลยได้รับเงินไปแล้ว ต่อมานายวิทิตได้ยกที่พิพาทให้แก่โจทก์โจทก์ได้ไปติดต่อขอโอนจากจำเลยจำเลยปฏิเสธขอให้พิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของนายวิทิต กลิ่นแก้วนพรัตน์ ตกได้แก่โจทก์และบังคับให้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อจากจำเลยมาเป็นชื่อโจทก์ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง จำเลยให้การว่าจำเลยได้ตกลงขายที่พิพาทให้แก่นายวิทิต กลิ่นแก้วนพรัตน์ บิดาโจทก์ในราคา9,000 บาท นายวิทิตจ่ายเงินให้แก่จำเลยเพียง 5,000 บาทคงเหลืออีก 4,000 บาท และไม่ยอมจ่ายเงินที่ค้างชำระดังกล่าวให้แก่จำเลย จำเลยจึงไม่จดทะเบียนโอนให้ ขอให้ยกฟ้องโจทก์ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่พิพาทให้แก่โจทก์ ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาให้ถือเอาคำพิพากษาแสดงเจตนาแทนจำเลยจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่านายวิทิตบิดาโจทก์และจำเลยเป็นพี่น้องกัน จำเลยได้ตกลงขายที่พิพาทตาม น.ส.3 เลขที่ 21 หมู่ที่ 1 ตำบลกู่จาน อำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร เอกสารหมาย จ.2 ให้แก่นายวิทิตในราคา 9,000 บาท จำเลยได้ส่งมอบการครอบครองที่พิพาทให้แก่นายวิทิตตั้งแต่วันซื้อขาย ต่อมาเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2525นายวิทิตและจำเลยได้ไปยื่นเรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมและการสอบสวนสิทธิในที่ดินประเภทขายตามเอกสารหมายจ.ล.1 ที่สำนักงานที่ดินอำเภอคำเขื่อนแก้ว แต่ไม่ได้จดทะเบียนโอนขายจนกระทั่งนายวิทิตถึงแก่ความตาย มีปัญหามาสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกาว่า นายวิทิตชำระเงินค่าที่ดินให้แก่จำเลยครบถ้วนแล้วหรือไม่ ทางพิจารณาจำเลยนำสืบก่อนว่า จำเลยตกลงขายที่พิพาทให้แก่นายวิทิต กลิ่นแก้วนพรัตน์ ในราคา 9,000 บาทนายวิทิตจ่าย 5,000 บาท คงเหลืออีก 4,000 บาท ต่อมานายวิทิตและจำเลยได้ไปยื่นเรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมและการสอบสวนสิทธิในที่ดินประเภทขายตามเอกสารหมาย จ.ล.1 เจ้าหน้าที่ที่ดินได้กรอกข้อความในเอกสารดังกล่าวข้อที่ 6(6) ว่า ผู้ซื้อได้ชำระเงินและผู้ขายได้รับเงินค่าที่ดินแล้ว จำเลยได้ทักท้วงเจ้าหน้าที่ได้บอกจำเลยว่า หากนายวิทิตไม่ชำระเงินให้ครบถ้วนตามที่ตกลงกันไว้ก็ไม่ต้องจดทะเบียนโอนให้แก่นายวิทิต จำเลยจึงยอมลงลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าว และหลังจากนั้นนายวิทิตไม่จ่ายเงินที่เหลือดังกล่าวให้แก่จำเลย จำเลยจึงไม่ไปจดทะเบียนโอนสิทธิในที่ดินให้แก่นายวิทิต
โจทก์นำสืบว่า นายวิทิตบิดาโจทก์ได้จ่ายเงินค่าที่พิพาทให้แก่จำเลยครบถ้วนแล้ว จำเลยไม่เคยทวงถามให้นายวิทิตชำระเงินจำนวน 4,000 บาท
พิเคราะห์แล้ว จำเลยมีนางแหวง ศรีสง่า เบิกความสนับสนุนว่า นายวิทิตซื้อที่พิพาทจากจำเลยในราคา 9,000 บาท นายวิทิตจ่ายให้จำเลยเพียง 5,000 บาท และในวันที่จำเลยไปยื่นเรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามเอกสารหมาย ล.1 (น่าจะเป็น จ.ล.1)พยานไปด้วย นายวิทิตและจำเลยได้ตกลงพูดกันเกี่ยวกับเรื่องเงินว่า นายวิทิตจ่ายที่เหลืออีก 4,000 บาทเมื่อไร จำเลยจะจัดการโอนที่ดินให้ ในวันดังกล่าวเจ้าพนักงานที่ดินได้สอบปากคำจำเลยและให้จำเลยลงชื่อในเอกสารดังกล่าว จำเลยได้ทักท้วงว่ายังได้รับเงินค่าขายที่ดินไม่ครบ เจ้าพนักงานที่ดินชี้แจงว่าเป็นพี่น้องกันไม่เป็นไร ให้รอการปิดประกาศครบตามระเบียบก่อนหากในระหว่างนี้นายวิทิตไม่ยอมจ่ายเงิน 4,000 บาทที่เหลือจำเลยก็ไม่ต้องจัดการจดทะเบียนโอนให้แก่นายวิทิต เห็นว่านางแหวงพยานจำเลยเป็นน้องสาวร่วมบิดามารดาเดียวกันกับนายวิทิตและจำเลย ไม่มีเหตุน่าระแวงสงสัยว่าจะเบิกความช่วยเหลือจำเลยนอกจากนี้การที่จำเลยขายที่พิพาทให้แก่นายวิทิตเป็นเวลานาน เมื่อนายวิทิตมาขอให้ไปจดทะเบียนโอนที่พิพาทให้จำเลยก็ไปยื่นเรื่องราวขอจดทะเบียนโอนให้ แสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่มีเจตนาที่จะโกงนายวิทิต และหลังจากวันยื่นเรื่องราวขอจดทะเบียนโอนที่พิพาทถึงวันที่นายวิทิตตายเป็นเวลา 2 ปีเศษ นายวิทิตก็ไม่ทวงเตือนให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนที่พิพาท หากนายวิทิตจ่ายเงินค่าที่พิพาทครบถ้วนแล้ว นายวิทิตคงไม่ปล่อยปละละเลยไม่พาจำเลยไปจดทะเบียนโอนที่พิพาททั้ง ๆ ที่นายวิทิตและจำเลยได้ไปยื่นคำขอจดทะเบียนไว้แล้ว พยานหลักฐานจำเลยมีน้ำหนักน่าเชื่อฝ่ายโจทก์มีแต่ตัวโจทก์เบิกความว่านายวิทิตบิดาโจทก์จ่ายเงินค่าที่พิพาทให้แก่จำเลยครบถ้วนแล้ว เห็นว่าโจทก์ไม่ได้รู้เห็นในขณะที่นายวิทิตบิดาโจทก์ตกลงซื้อขายที่พิพาทกับจำเลยนอกจากนี้โจทก์เบิกความตอบคำถามค้านว่า ในขณะที่บิดาโจทก์ยังมีชีวิตอยู่ บิดาโจทก์เคยเสนอเงินให้กับจำเลย 5,000 บาท แต่จำเลยว่าที่ดินราคาเพิ่มขึ้นจึงอยากจะได้เงินมากกว่านั้นจำเลยจึงไม่ยอมโอนที่ดินให้ แสดงว่าการซื้อขายที่พิพาทยังจ่ายค่าที่ดินไม่ครบ ยิ่งกว่านั้นไม่ปรากฏว่านายวิทิตได้ไปร้องเรียนหรือแจ้งความต่อผู้ใหญ่บ้านหรือกำนันเกี่ยวกับเรื่องการซื้อขายที่พิพาทแต่อย่างใด ลำพังแต่บันทึกเรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมและการสอบสวนสิทธิในที่ดินประเภทขายตามเอกสารหมาย จ.ล.1 ที่ระบุว่าผู้ซื้อได้ชำระเงินและผู้ขายได้รับเงินค่าที่ดินแล้วนั้น เมื่อไม่มีผู้ที่ลงลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าวมาเบิกความสนับสนุนก็หามีน้ำหนักพอที่จะฟังได้ว่ามีการจ่ายค่าที่พิพาทครบถ้วนแล้ว พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่น่าเชื่อ ฟังได้ว่านายวิทิตบิดาโจทก์ยังจ่ายค่าที่พิพาทให้แก่จำเลยไม่ครบถ้วนตามที่ตกลงซื้อขายกัน ดังนี้เมื่อโจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยโอนที่พิพาทให้ และข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้ขายที่พิพาทให้นายวิทิตจริง เพียงแต่นายวิทิตยังชำระราคาที่พิพาทไม่ครบถ้วนจำเลยก็มีหน้าที่จะต้องโอนที่พิพาทให้แก่โจทก์และโจทก์ก็ต้องมีหน้าที่ชำระเงินจำนวน 4,000 บาท ที่ค้างชำระให้แก่จำเลย เพราะเป็นการชำระหนี้ตามสัญญาต่างตอบแทน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์ชำระเงิน 4,000 บาทให้แก่จำเลยด้วย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share