แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้จัดการมรดกของ พ.มีสามคนคืออ.ช. และจำเลยขณะจำเลยทำสัญญาเช่ากับโจทก์ในคดีนี้ อ.และช.ผู้จัดการมรดกอีกสอบคนถึงแก่กรรมแล้ว ดังนี้จำเลยแต่เพียงผู้เดียวย่อมไม่มีอำนาจจัดการมรดกต่อไปตามลำพัง เพราะในกรณีมีผู้จัดการมรดกหลายคนจะต้องจัดการโดยถือเอาเสียงข้างมากของผู้จัดการมรดกร่วมกัน สัญญาเช่าที่พิพาทจึงไม่ผูกพันกองมรดก การที่ศาลตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกแต่เพียงผู้เดียวในภายหลังไม่มีผลทำให้สัญญาเช่าที่พิพาทผูกพันกองมรดก โจทก์ฎีกาอ้างเพียงว่าพยานหลักฐานของโจทก์ฟังได้ว่าทายาทของ พ. ได้เชิดจำเลยให้แสดงออกว่าจำเลยเป็นตัวแทนจัดการทรัพย์มรดกของ พ.แต่เพียงผู้เดียวโดยโจทก์มิได้ฎีกาโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ว่าไม่ถูกต้องอย่างไร และที่ถูกต้องเป็นอย่างไร ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้จึงไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนางพิน โยธาสมุทรตามคำสั่งของศาลแพ่ง เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2531 จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของนางพินได้ตกลงให้โจทก์เช่าส่วนหนึ่งของที่ดินตามโฉนดเลขที่ 4751 อันเป็นทรัพย์มรดกของนางพินเนื้อที่ 7 ไร่ 1 งาน 45 ตารางวา มีกำหนด 30 ปีเพื่อปลูกสร้างอาคารและดำเนินกิจการโรงแรมตามสัญญาเช่าที่ดินฉบับลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2531 ท้ายฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนการเช่าส่วนหนึ่งของที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 4751 เนื้อที่ 7 ไร่ 1 งาน 45 ตารางวาให้แก่โจทก์มีกำหนด 30 ปี หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามก็ให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์เป็นจำนวน 36,664,475 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะสัญญาเช่าได้ทำขึ้นเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2531 ก่อนที่โจทก์จะจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2532 โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญามิได้ดำเนินการขนวัสดุ เครื่องมือและอุปกรณ์สำหรับก่อสร้างเขื่อนคอนกรีตกั้นน้ำบริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยาและรั้วตามโครงการปลูกสร้างอาคารและสิ่งปลูกสร้างเข้าไปในที่เช่าหรือที่พิพาท ซึ่งเป็นเงื่อนไขให้ดำเนินการก่อนที่จะไปจดทะเบียนการเช่าตามสัญญาเช่าที่พิพาท ข้อ 12อย่างไรก็ดี จำเลยยินดีที่จะไปจดทะเบียนการเช่าให้โจทก์แต่ติดขัดที่นายเกษม โยธาสมุทร กับนางสาวมยุรี โยธาสมุทรได้ทำการอายัดมิให้กระทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่พิพาทต่อเจ้าพนักงานที่ดินและบุคคลทั้งสองกับพวกได้ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลแพ่งให้เพิกถอนจำเลยจากการเป็นผู้จัดการมรดกของนางพิน โยธาสมุทร และให้เพิกถอนสัญญาเช่าที่พิพาทตามฟ้องคดีนี้ด้วย ทำให้จำเลยไม่สามารถไปจดทะเบียนการเช่าที่พิพาทให้โจทก์ได้ เหตุที่โจทก์ไม่อาจดำเนินการตามสัญญาได้มิได้เกิดจากการขัดข้องของจำเลย โจทก์จึงมิได้เสียหายตามฟ้องสิ่งใดที่โจทก์ได้ลงทุนดำเนินการไปในที่พิพาทก็เพื่อผลประโยชน์ของโจทก์เองไม่อาจเรียกร้องเอาจากจำเลยได้การที่จำเลยนำที่พิพาทให้โจทก์เช่าเป็นการกระทำไปตามหน้าที่ของผู้จัดการมรดกของนางพินโดยสุจริต จึงไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัวต่อโจทก์ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา นายเกษม โยธาสมุทร กับนางมยุรี บุญเทียม ผู้ร้องสอดทั้งสองยื่นคำร้องผู้ร้องสอดทั้งสอง ผู้ร้องสอดทั้งสองเป็นทายาทโดยธรรมมีสิทธิรับมรดกของนางพิน โยธาสมุทร เจ้ามรดก ที่พิพาทเป็นทรัพย์มรดก จำเลยมีหน้าที่จัดการทรัพย์มรดกของนางพินแบ่งปันแก่ทายาทของนางพิน ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ จำเลยไม่มีสิทธินำทรัพย์มรดกหรือที่พิพาทไปให้โจทก์เช่า ขณะจำเลยนำที่พิพาทไปให้โจทก์เช่า จำเลยไม่มีอำนาจกระทำในฐานะผู้จัดการมรดก ของนางพินแต่ลำพังผู้เดียวได้เพราะจำเลยต้องจัดการมรดกร่วมกับผู้จัดการมรดกอีกสองคนคือนางอรุณ โยธาสมุทร และนางชม โยธาสมุทรจำเลยเพิ่งจะได้รับแต่งตั้งจากศาลให้เป็นผู้จัดการของนางพินแต่ลำพังผู้เดียวเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2532 ซึ่งเป็นระยะเวลาภายหลังที่จำเลยได้ทำสัญญาเช่าที่พิพาทกับโจทก์แล้ว โจทก์ทำสัญญาเช่าที่พิพาทโดยทราบข้อเท็จจริงว่าจำเลยไม่มีอำนาจกระทำการได้แต่ลำพังสัญญาเช่าจึงไม่ผูกพันกองมรดกของนางพิน และผู้ร้องสอดทั้งสองมิได้ให้ความยินยอมการที่จำเลยนำที่พิพาทให้โจทก์เช่าดังกล่าว ผู้ร้องสอดทั้งสองจึงได้ยื่นคำร้องขออายัดมิให้กระทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่พิพาทต่อเจ้าพนักงานที่ดิน โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อ 12 ของสัญญาเช่า โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะบังคับให้ไปจดทะเบียนสิทธิการเช่า โจทก์เพิ่งจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลภายหลังการทำสัญญาเช่ากองมรดกของนางพินจึงไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
โจทก์ให้การแก้คำร้องสอดว่า จำเลยได้แสดงตนและจัดการมรดกของนางพิน โยธาสมุทร ในฐานะผู้จัดการมรดกแต่ผู้เดียวด้วยความยินยอมของทายาทของนางพินมาตลอด โจทก์เชื่อโดยสุจริตว่าจำเลยมีอำนาจจัดการมรดกของนางพินได้โจทก์จึงได้ทำสัญญาเช่าที่พิพาทกับจำเลยในฐานะเป็นผู้จัดการมรดกของนางพินเจ้ามรดก ตามสัญญาเช่าที่พิพาทกองมรดกของนางพินจะได้รับค่าตอบแทนในการใช้ที่ดินเมื่อครบกำหนดสัญญาเช่ากองมรดกจะได้รับการยกให้กรรมสิทธิ์ในสิ่งปลูกสร้างทั้งหมด มีมูลค่าหลายร้อยล้านบาทก่อนทำสัญญาเช่าทายาททุกคนของนางพินทราบและยินยอมพอใจในผลของข้อตกลงโจทก์ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขของสัญญาทุกประการโดยถมและปรับระดับที่ดินตลอดจนได้ขนวัสดุ เครื่องมืออุปกรณ์สำหรับก่อสร้างเขื่อนและอาคารเข้าไปในที่พิพาทตามข้อตกลง แต่โจทก์และจำเลยไม่อาจจดทะเบียนสิทธิการเช่าเนื่องจากผู้ร้องสอดทั้งสองได้ขออายัดมิให้การทำนิติกรรมใด ๆต่อเจ้าพนักงานที่ดินไว้โดยไม่สุจริต ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายตามฟ้อง
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การแก้คดีของผู้ร้องสอด
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้เป็นยุติว่าผู้ร้องสอดทั้งสองเป็นหลานของนาวงพิน โยธาสมุทร เจ้ามรดกเมื่อปี 2518 จำเลยกับนางอรุณ โยธาสมุทร และนางชม โยธาสมุทรได้รับแต่งตั้งจากศาลให้ร่วมเป็นผู้จัดการมรดกของนางพินต่อมานางอรุณ และนางชมได้ถึงแก่กรรมเมื่อปี 2526 และปี 2529ตามลำดับ จำเลยได้ร้องขอต่อศาลและศาลมีคำสั่งเมื่อวันที่6 มกราคม 2532 ตั้งให้จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนางพินแต่เพียงผู้เดียว เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2531นายสมชาย ชาติอัปสร ได้ทำสัญญาในนามของโจทก์เช่าที่พิพาทกับจำเลยในฐานะของผู้จัดการมรดกของนางพินโจทก์ได้มอบหนังสือค้ำประกันของธนาคารกรุงเทพ จำกัดสำนักงานใหญ่ เป็นเงิน 6,000,000 บาท ให้จำเลยยึดถือไว้เป็นประกันในวันทำสัญญา และโจทก์ได้จ่ายเงิน 400,000 บาทเพื่อให้เป็นค่าใช้จ่ายขนย้ายแก่ผู้อยู่ในที่พิพาท สัญญาดังกล่าวกำหนดระยะเวลาเช่ากันไว้ 30 ปี เมื่อครบ 30 ปีแล้วฝ่ายโจทก์ยินยอมยกสิ่งปลูกสร้างเช่นอาคารโรงแรมอาคารพาณิชย์ให้แก่ผู้ให้เช่าและตามข้อ 12 ขอสัญญาระบุให้โจทก์ขนวัสดุและอุปกรณ์เพื่อทำเขื่อนเข้ามาในที่พิพาทแล้วทั้งสองฝ่ายจะไปจดทะเบียนสิทธิการเช่าที่สำนักงานที่ดินภายใน 1 เดือน เมื่อทำสัญญาแล้วโจทก์ได้ว่าจ้างให้คนมาถมและปรับที่ดินได้ขนเอาปั้นจั่นอุปกรณ์การก่อสร้างเขื่อนพร้อมกับเสาเข็มเพื่อตอกทำเขื่อนแนวริมแม่น้ำเจ้าพระยา และโจทก์ได้มอบให้ทนายความมีหนังสือแจ้งกำหนดวันนัดให้จำเลยไปจดทะเบียนการเช่าตามสัญญา แต่จำเลยผิดนัดไม่ไปจดทะเบียนสิทธิการเช่าให้โจทก์ตามสัญญา โจทก์จึงได้แจ้งอายัดที่พิพาทไว้ กับได้แจ้งเตือนให้จำเลยไปจดทะเบียนการเช่าอีก จำเลยแจ้งว่าไม่อาจไปจดทะเบียนการเช่าได้เนื่องจากผู้ร้องสอดได้อายัดมิให้ทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่พิพาทที่สำนักงานที่ดิน
พิเคราะห์แล้ว โจทก์ฎีกาข้อแรกว่า สัญญาเช่าผูกพันกองมรดกของนางพินเพราะผู้จัดการมรดกร่วมสองคนได้ถึงแก่กรรมจึงเหลือจำเลยแต่เพียงผู้เดียว เป็นสิทธิเฉพาะตัวจำเลยจึงมีอำนาจจัดการมรดก ต่อมาจำเลยได้ร้องต่อศาลขอให้มีคำสั่งตั้งให้จำเลยมีอำนาจจัดการทรัพย์มรดกลำพังผู้เดียวและศาลอนุญาตเป็นการยืนยันและให้สัตยาบันในการจัดการมรดก เห็นว่าข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์จำเลยและผู้ร้องสอดนำสืบว่าผู้จัดการมรดกของนางพิมมีสามคน ขณะจำเลยทำสัญญาเช่ากับโจทก์ในคดีนี้ นางอรุณและนางชมผู้จัดการมรดกอีกสองคนถึงแก่กรรมแล้ว คงเหลือแต่จำเลย ฉะนั้น จำเลยแต่เพียงผู้เดียวย่อมไม่มีอำนาจจัดการมรดกต่อไปตามลำพัง เพราะในกรณีมีผู้จัดการมรดกหลายคนจะต้องจัดการโดยถือเอาเสียงข้างมากของผู้จัดการมรดกร่วมกัน สัญญาเช่าที่พิพาทจึงไม่ผูกพันกองมรดกการที่ศาลตั้งจากจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกแต่เพียงผู้เดียวในภายหลังไม่มีผลทำให้สัญญาเช่าที่พิพาทผูกพันกองมรดก
โจทก์ฎีกาต่อไปว่า ทายาททุกคนของนางพินได้เชิดจำเลยเป็นตัวแทนจัดการมรดก จึงผูกพันกองมรดก ปรากฏว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าไม่จำต้องวินิจฉัยในประเด็นข้อนี้ เพราะไม่มีประเด็นตัวแทนเชิดตามฟ้องโจทก์เห็นว่า โจทก์ฎีกาอ้างเพียงว่าพยานหลักฐานของโจทก์ฟังได้ว่าทายาทของนางพินได้เชิดจำเลยให้แสดงออกว่าจำเลยเป็นตัวแทนจัดการทรัพย์มรดกของนางพินแต่เพียงผู้เดียว โดยโจทก์มิได้ฎีกาโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ว่าไม่ถูกต้องอย่างไร และที่ถูกต้องเป็นอย่างไรฎีกาของโจทก์ในข้อนี้จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน