คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5836/2558

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ฎีกาของจำเลยที่ว่า หนังสือมอบอำนาจ โจทก์มิได้ขีดฆ่าอากรแสตมป์เป็นการไม่ชอบ หนังสือมอบอำนาจดังกล่าวจึงใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีไม่ได้ ตาม ป. รัษฎากร มาตรา 118 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น แม้จำเลยจะมิได้ให้การต่อสู้ว่าการมอบอำนาจให้ฟ้องคดีตามหนังสือมอบอำนาจไม่ชอบอย่างไรตั้งเป็นประเด็นไว้และก็ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านการมอบอำนาจให้ฟ้องคดีของโจทก์ ตามหนังสือมอบอำนาจ ว่าไม่ถูกต้องอย่างไรมาแต่แรก และเพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาก็ตาม แต่ปัญหาเกี่ยวกับอำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยย่อมมีสิทธิยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคสอง
โจทก์นำสืบส่งสำเนาหนังสือมอบอำนาจเป็นพยานต่อศาล จำเลยไม่ได้คัดค้านว่า ไม่มีต้นฉบับ หรือต้นฉบับปลอม หรือสำเนานั้นไม่ถูกต้องกับต้นฉบับ ถือว่าจำเลยยอมรับว่าสำเนาเอกสารนั้นถูกต้องกับต้นฉบับตาม ป.วิ.พ. มาตรา 125 ศาลย่อมมีอำนาจรับฟังสำเนาเอกสารเช่นว่านั้นเป็นพยานหลักฐานได้ตาม มาตรา 93 (4) สำเนาหนังสือมอบอำนาจ จึงรับฟังเป็นพยานเอกสารได้ เมื่อปรากฏว่าเป็นการรับฟังสำเนาเอกสารเป็นพยานหลักฐานแทนต้นฉบับเอกสาร จึงหาใช่การรับฟังต้นฉบับเอกสารเป็นพยานหลักฐานอันจะต้องปิดอากรแสตมป์และขีดฆ่าอากรแสตมป์ตาม ป.รัษฎากร และสำเนาหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวก็มิใช่คู่ฉบับหรือคู่ฉีกแห่งตราสารจึงไม่อยู่ในบังคับที่จะต้องปิดอากรแสตมป์และขีดฆ่าอากรแสตมป์ด้วยเช่นกัน สำเนาหนังสือมอบอำนาจ จึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยขนย้ายข้าวเปลือกที่นำไปหว่านในที่ดิน ห้ามจำเลยและบริวารยุ่งเกี่ยวในที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยชดใช้ค่าขาดประโยชน์ในการทำนาแต่ละครั้งเป็นเงิน 533,000 บาท แก่โจทก์ และต่อไปอีกครั้งละ 533,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะออกจากที่ดิน
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 3864 ตำบลหนามแดง อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา แปลงเลขที่ 45 ห้ามจำเลยและบริวารเข้ายุ่งเกี่ยวในที่ดิน กับให้ชำระค่าเสียหาย 533,000 บาท แก่โจทก์ และต่อไปอีกเดือนละ 100,000 บาท นับถัดจากวันที่ 6 มีนาคม 2555 จนกว่าจำเลยจะออกจากที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท ให้ยกคำขออื่น
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 เห็นว่า โจทก์มีหนังสือบอกเลิกการเช่านาไปยังจำเลยและแจ้งแก่ประธาน คชก. ตำบลหนามแดง เพื่อประชุมวินิจฉัยการบอกเลิกการเช่านา และที่ประชุม คชก. ตำบลหนามแดง มีมติว่าผู้เช่านาไม่ชำระค่าเช่านารวมกันเป็นเวลา 2 ปี คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเช่าที่ดินของโจทก์ทำนาแล้วไม่ชำระค่าเช่านารวมกันเป็นเวลา 2 ปี จำเลยให้การตอนแรกว่าจำเลยไม่เคยค้างชำระค่าเช่านาแก่โจทก์ ตอนหลังให้การว่าการเรียกเก็บค่าเช่านาโจทก์มิได้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม พ.ศ.2524 มาตรา 40 วรรคท้าย คำให้การจำเลยจึงขัดแย้งกัน จำเลยมิได้ปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์โดยชัดแจ้งว่า จำเลยไม่ได้ค้างชำระค่าเช่านาแก่โจทก์รวมเป็นเวลา 2 ปี จึงเป็นคำให้การที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง ถือว่าจำเลยยอมรับตามข้ออ้างของโจทก์ว่าจำเลยไม่ชำระค่าเช่านารวมกันเป็นเวลา 2 ปี การบอกเลิกการเช่านาของโจทก์ชอบด้วยพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม พ.ศ.2524 มาตรา 31 (1) และมาตรา 34 แล้ว โจทก์มีอำนาจฟ้อง การบอกเลิกการเช่านาตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม พ.ศ.2524 มาตรา 31 (1) เป็นการบอกเลิกการเช่านาก่อนสิ้นกำหนดระยะเวลาการเช่านา เพราะเหตุผู้เช่านาไม่ชำระค่าเช่านารวมกันเป็นเวลา 2 ปี สำหรับการบอกเลิกการเช่านา ตามมาตรา 37 เป็นการบอกเลิกการเช่านา เมื่อสิ้นระยะเวลาการเช่านาตามมาตรา 26 คนละเหตุกัน อุทธรณ์ของจำเลยที่ว่าการบอกเลิกการเช่านายังมีขั้นตอนต้องปฏิบัติตามมาตรา 37 วรรคสอง จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง แต่ค่าเสียหายที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยรับผิดนั้นสูงเกินไป พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าเสียหายเป็นเงิน 38,300 บาท แก่โจทก์ และต่อไปอีกปีละ 24,000 บาท นับถัดจากวันที่ 6 มีนาคม 2555 จนกว่าจำเลยจะออกไปจากที่ดินของโจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่า หนังสือมอบอำนาจโจทก์มิได้ขีดฆ่าอากรแสตมป์เป็นการไม่ชอบ หนังสือมอบอำนาจดังกล่าวจึงใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีไม่ได้ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า ข้อนี้แม้จำเลยจะมิได้ให้การต่อสู้ว่าการมอบอำนาจให้ฟ้องคดีตามหนังสือมอบอำนาจไม่ชอบอย่างไรตั้งเป็นประเด็นไว้และก็ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านการมอบอำนาจให้ฟ้องคดีของโจทก์ตามหนังสือมอบอำนาจ ว่าไม่ถูกต้องอย่างไรมาแต่แรก และเพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาก็ตาม แต่ปัญหาเกี่ยวกับอำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยย่อมมีสิทธิยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง คดีนี้ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์นำสืบส่งสำเนาหนังสือมอบอำนาจเป็นพยานต่อศาล จำเลยไม่ได้คัดค้านว่า ไม่มีต้นฉบับ หรือต้นฉบับปลอม หรือสำเนานั้นไม่ถูกต้องกับต้นฉบับ ถือว่าจำเลยยอมรับว่าสำเนาเอกสารนั้นถูกต้องกับต้นฉบับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 125 ศาลย่อมมีอำนาจรับฟังสำเนาเอกสารเช่นว่านั้นเป็นพยานหลักฐานได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93 (4) สำเนาหนังสือมอบอำนาจ จึงรับฟังเป็นพยานเอกสารได้ เมื่อปรากฏว่าเป็นการรับฟังสำเนาเอกสารเป็นพยานหลักฐานแทนต้นฉบับเอกสาร จึงหาใช่การรับฟังต้นฉบับเอกสารเป็นพยานหลักฐานอันจะต้องปิดอากรแสตมป์และขีดฆ่าอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากรดังที่จำเลยอ้างไม่ และสำเนาหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวก็มิใช่คู่ฉบับหรือคู่ฉีกแห่งตราสารจึงไม่อยู่ในบังคับที่จะต้องปิดอากรแสตมป์และขีดฆ่าอากรแสตมป์ด้วยเช่นกัน สำเนาหนังสือมอบอำนาจ จึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share