คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4903/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ซึ่งมีข้อกำหนดห้ามผู้มีสิทธิในที่ดินโอนที่ดินไปยังผู้อื่นภายใน10 ปี นับแต่วันที่ทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้เป็นต้นไปในระหว่างระยะเวลาห้ามโอน และมีข้อตกลงกันว่าจะไปจดทะเบียนเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาห้ามโอน หากมิได้มีการส่งมอบการครอบครองภายในระยะเวลาห้ามโอนดังกล่าวอาจถือไม่ได้ว่าเป็นการจงใจหลีกเลี่ยงข้อห้ามการโอนตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 31 อันเป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย ซึ่งตกเป็นโมฆะเมื่อยังไม่ปรากฎข้อเท็จจริงเป็นที่แน่ชัดว่า ได้มีการส่งมอบการครอบครองที่ดินหรือโจทก์ได้เข้าครอบครองที่ดินนั้นในระยะเวลาห้ามโอนแล้วหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้ววินิจฉัยว่า นิติกรรมระหว่างโจทก์จำเลยมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามอย่างชัดแจ้งโดยกฎหมายเป็นโมฆะ พิพากษายกฟ้อง จึงไม่ชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2527 จำเลยได้มอบอำนาจให้ว.ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินของจำเลย ซึ่งเป็นที่ดินกำหนดห้ามโอนภายใน 10 ปีตามประมวลกฎหมายที่ดินนับตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2523กับโจทก์ โดยโจทก์ได้ชำระเงินมัดจำให้กับจำเลย ส่วนที่เหลือจะชำระให้ในวันที่หักโอนกันคือ วันที่ 27 มีนาคม 2533 ซึ่งเป็นวันพ้นกำหนดห้ามโอน เมื่อถึงกำหนดที่จำเลยจะต้องโอนที่ดินให้แก่โจทก์ตามสัญญา จำเลยไม่สามารถโอนที่ดินให้แก่โจทก์ได้เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์ขอคิดค่าเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก) ให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ยอม ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ถ้าการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวไม่สามารถกระทำได้ขอให้จำเลยคืนเงินมัดจำให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ประมวลกฎหมายที่ดินมีเจตนารมณ์จะปกป้องราษฎรให้มีที่ดินไว้ทำกินเป็นเวลาอย่างน้อย 10 ปี ดังนั้น การที่โจทก์กับผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยทำสัญญา อันมีผลเป็นการโอนสิทธิในที่ดินภายในกำหนดระยะเวลาห้ามโอน จึงเป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย สัญญาจะซื้อจะขายตามฟ้องจึงเป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้อง
วันชี้สองสถาน จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายว่า สัญญาจะซื้อจะขายที่จำเลยทำไว้กับโจทก์เป็นโมฆะหรือไม่ ศาลชั้นต้นได้พิเคราะห์คำฟ้องและคำให้การแล้ว เห็นว่า คดีไม่จำต้องชี้สองสถาน ทั้งเป็นปัญหาข้อกฎหมายให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยคืนเงินมัดจำให้แก่โจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ซึ่งมีข้อกำหนดห้ามผู้มีสิทธิในที่ดินโอนที่ดินไปยังผู้อื่นภายใน 10 ปีนับแต่วันที่ทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้เป็นต้นไปในระหว่างระยะเวลาห้ามโอนและมีข้อตกลงกันว่าจะไปจดทะเบียนเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาห้ามโอนหากมิได้มีการส่งมอบการครอบครองภายในระยะเวลาห้ามโอนดังกล่าวอาจถือไม่ได้ว่าเป็นการจงใจหลีกเลี่ยงข้อห้ามการโอนตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 31 อันเป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย ซึ่งตกเป็นโมฆะ คดีนี้เมื่อยังไม่ปรากฎข้อเท็จจริงเป็นที่แน่ชัดว่าได้มีการส่งมอบการครอบครองที่ดินนั้น หรือโจทก์ได้เข้าครอบครองที่ดินนั้นในระยะเวลาห้ามโอนแล้วหรือไม่การที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้ววินิจฉัยว่า นิติกรรมระหว่างโจทก์จำเลยมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามอย่างชัดแจ้งโดยกฎหมายเป็นโมฆะ พิพากษายกฟ้อง จึงไม่ชอบ
พิพากษาให้ยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share