คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5828/2558

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การใช้อวัยวะเพศของจำเลยกระทำกับอวัยวะเพศของผู้เสียหายโดยจ่อและดัน ข่มขู่ว่าจะทำร้ายผู้เสียหายและใช้นิ้วมือสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหาย เป็นความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราสำเร็จแล้ว อวัยวะเพศของจำเลยสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายหรือไม่ ไม่มีผลทำให้การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด
การส่งจำเลยไปควบคุมเพื่อฝึกและอบรมเป็นวิธีการสำหรับเด็กและเยาวชน มิใช่การลงโทษจำคุกซึ่งเป็นโทษตาม ป.อ. มาตรา 18 ดังนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 8 เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปควบคุมเพื่อฝึกอบรมจึงไม่ใช่กรณีศาลในคดีหลังพิพากษาให้ลงโทษจำคุกซึ่งจะต้องกำหนดโทษที่รอการลงโทษไว้มาบวกตาม ป.อ. มาตรา 58 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 กำหนดโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 158/2555 ของศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดนครสวรรค์มาบวกกับโทษจำคุกของจำเลยก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นส่งจำเลยไปควบคุมเพื่อฝึกอบรมจึงไม่ชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90, 276, 278 และให้กำหนดโทษของจำเลยที่รอการกำหนดโทษไว้ในคดีดังกล่าวของศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดนครสวรรค์ แล้วนำมาบวกกับโทษของจำเลยในคดีนี้
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรก, 278 เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรก ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ขณะเกิดเหตุ จำเลยมีอายุ 16 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 ฐานข่มขืนกระทำชำเรา จำคุก 3 ปี คำให้การของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี และกำหนดโทษที่รอการกำหนดโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 158/2555 ของศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดนครสวรรค์ จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 2 ปี 6 เดือน แต่เห็นควรเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปฝึกและอบรมที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนเขต 8 จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีกำหนดขั้นต่ำ 3 ปี ขั้นสูง 4 ปี นับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 142 (1) ประกอบมาตรา 143
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายเบิกความยืนยันว่า เมื่อผู้เสียหายจอดรถริมถนนแล้ว ผู้เสียหายบอกจำเลยให้ลงจากรถ เพราะผู้เสียหายจะรีบไปทำงาน จำเลยขอให้ผู้เสียหายอยู่เป็นเพื่อนก่อน เพราะเพื่อนที่นัดไว้ยังไม่มา ต่อมาประมาณ 1 นาที ผู้เสียหายก็ให้จำเลยลงจากรถอีก จำเลยก็ยังไม่ยอมลงจากรถ แต่ได้ยื่นหน้ามาที่ผู้เสียหายและจูบบริเวณปากและแก้มของผู้เสียหาย ผู้เสียหายตกใจพยายามดันจำเลยออกและพยายามจะติดเครื่องยนต์แต่จำเลยปัดมือผู้เสียหายและแย่งกุญแจรถไปแล้วทิ้งกุญแจรถลงที่พื้นข้างตัวรถ แล้วจำเลยจูบผู้เสียหายและเอามือล้วงเข้าไปในเสื้อบริเวณหน้าอก ผู้เสียหายผลักและใช้เท้าซ้ายถีบจำเลยหลายครั้ง จำเลยดึงถุงน่องและกางเกงในของผู้เสียหายหลุดออกไป จากนั้นจำเลยถอดกางเกงของจำเลยลงมาที่ต้นขาแล้วจำเลยเอาอวัยวะเพศของจำเลยมาจ่อที่อวัยวะเพศของผู้เสียหาย แต่ผู้เสียหายเอามือปิดไว้และพยายามดันตัวจำเลยออกไป ช่วงที่จำเลยเอาอวัยวะเพศของจำเลยมาจ่อที่อวัยวะเพศของผู้เสียหายนั้น ขาของผู้เสียหายถูกจำเลยทับไว้และจำเลยพยายามดันอวัยวะเพศของจำเลยเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหาย 3 ถึง 4 ครั้ง แต่อวัยวะเพศของจำเลยเข้าไปไม่ได้ จำเลยจึงใช้นิ้วขวาสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหาย แต่ผู้เสียหายพยายามดันออก ต่อมาผู้เสียหายพูดขอร้องจำเลยว่าอย่าทำและบอกว่าจะช่วยสำเร็จความใคร่ให้จำเลยโดยใช้มือจับอวัยวะเพศของจำเลยชักขึ้นชักลงจนกระทั่งน้ำอสุจิของจำเลยออกมาแล้วจำเลยจึงสงบลง จากนั้นมีเพื่อนของผู้เสียหายโทรศัพท์มาตามผู้เสียหาย ผู้เสียหายจึงขับรถไปส่งจำเลย เมื่อไปถึงที่ทำงาน ผู้เสียหายโทรศัพท์หานางสาวกฤติยา เพื่อนร่วมงาน เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังและเล่าให้นางสาวไกวัลย์ หัวหน้างานฟังด้วย จากนั้นนางสาวกฤติยาและนางสาวไกวัลย์จึงพาผู้เสียหายไปร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจภูธรท่าฉัตรไชย เห็นว่า ผู้เสียหายกับจำเลยไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เพียงแต่เคยเห็นหน้ากันเนื่องจากพักอาศัยอยู่ใกล้กัน ผู้เสียหายยอมขับรถไปส่งจำเลยก็เพราะจำเลยขอ อีกทั้งวัยของจำเลยเด็กกว่าผู้เสียหายหลายปี ผู้เสียหายจึงไม่ทันระวังตัว การที่จำเลยอ้างว่า เมื่อถึงที่เกิดเหตุแล้วจำเลยเกิดอารมณ์ทางเพศจึงกอดจูบผู้เสียหายซึ่งผู้เสียหายก็มีอารมณ์ทางเพศสนองตอบด้วย จำเลยจึงถอดกางเกงของจำเลยออก ส่วนผู้เสียหายก็ถอดกระโปรง ถุงน่องและกางเกงในของผู้เสียหายออกด้วยความยินยอมนั้น จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากและขัดต่อเหตุผล เพราะผู้เสียหายไม่ได้สนิทสนมกับจำเลยจนถึงขนาดที่เมื่อถูกจำเลยลวนลามครั้งแรก ผู้เสียหายก็ยินยอมจนถึงขั้นที่จะมีเพศสัมพันธ์ด้วย นอกจากนี้ยังปรากฏร่องรอยฟกช้ำบริเวณร่างกายของผู้เสียหายอีกหลายแห่งอันเกิดจากการต่อสู้ดิ้นรนกับจำเลย แม้บาดแผลฟกช้ำไม่มากก็มิใช่ข้อบ่งชี้ว่าผู้เสียหายยินยอมมีความสัมพันธ์กับจำเลย แต่เป็นเพราะผู้เสียหายยังมีสติที่จะไม่ทำให้เหตุการณ์เกิดขึ้นรุนแรงอันอาจเกิดภัยอันตรายมากกว่านี้ ภายหลังเกิดเหตุผู้เสียหายบอกเพื่อนร่วมงานให้ทราบแทบจะทันทีทันใดหลังจากที่ไปส่งจำเลยเสร็จแล้ว ซึ่งหากผู้เสียหายยินยอมพร้อมใจที่จะมีความสัมพันธ์ทางเพศกับจำเลยตามที่จำเลยกล่าวอ้าง ผู้เสียหายคงอับอายไม่ไปร้องทุกข์หรือบอกเพื่อนร่วมงานให้ทราบ เพราะระหว่างเกิดเหตุมีเพียงผู้เสียหายกับจำเลยเท่านั้นที่ทราบ ที่จำเลยฎีกาว่า ผู้เสียหายเบิกความขัดแย้งกับคำเบิกความของแพทย์ที่ว่าตรวจพบเชื้ออสุจิในช่องคลอดของผู้เสียหาย แพทย์จึงลงความเห็นว่าผู้เสียหายผ่านการร่วมเพศมานั้น เห็นว่า ไม่ขัดแย้งและไม่ทำให้น้ำหนักพยานโจทก์เสียไป เพราะการใช้อวัยวะเพศของจำเลยกระทำกับอวัยวะเพศของผู้เสียหายโดยจ่อและดัน ข่มขู่ว่าจะทำร้ายผู้เสียหายและใช้นิ้วมือสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหาย เป็นความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราสำเร็จแล้ว อวัยวะเพศของจำเลยสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายหรือไม่ ไม่มีผลทำให้การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด และที่จำเลยฎีกาว่าผู้เสียหายวางแผนเพื่อเรียกค่าเสียหายจากจำเลยนั้นไม่สมเหตุผลเพราะจำเลยไม่ใช่ผู้มีฐานะมั่งคั่ง และหากจะมองว่าผู้เสียหายประสงค์จะเรียกค่าเสียหายจากญาติของจำเลยก็ฟังไม่ถนัดนัก เนื่องจากในการเจรจาค่าเสียหายเป็นเรื่องที่ฝ่ายจำเลยเสนอภายหลังจากที่มีการร้องทุกข์แล้ว ทั้งผู้เสียหายเพิ่งทราบจากทนายความในระหว่างนั้นว่าเป็นคดีที่ยอมความได้และผู้เสียหายมีสิทธิเรียกร้องเงินค่าเสียหายไปแต่ฝ่ายจำเลยไม่มีเงินจ่าย คดีจึงมาสู่ศาล ส่วนที่จำเลยฎีกาอ้างว่า ภายหลังเกิดเหตุจำเลยไม่ได้หลบหนีไปไหนอาจเป็นเพราะจำเลยคาดไม่ถึงว่าผู้เสียหายจะไปร้องทุกข์ทันที พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมามีน้ำหนักมั่นคงฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 กำหนดโทษที่รอการกำหนดโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 158/2555 ของศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดนครสวรรค์ จำคุก 6 เดือน แล้วบวกเข้ากับโทษจำคุกของจำเลยคดีนี้รวมจำคุก 2 ปี 6 เดือนแล้วเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งจำเลยไปควบคุมเพื่อฝึกและอบรมมีกำหนดขั้นต่ำ 3 ปี ขั้นสูง 4 ปี โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 142 (1) ประกอบมาตรา 143 นั้น เห็นว่า การส่งจำเลยไปควบคุมเพื่อฝึกและอบรมเป็นวิธีการสำหรับเด็กและเยาวชน มิใช่การลงโทษจำคุกซึ่งเป็นโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 ดังนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 8 เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปควบคุมเพื่อฝึกอบรมจึงไม่ใช่กรณีศาลในคดีหลังพิพากษาให้ลงโทษจำคุกซึ่งจะต้องกำหนดโทษที่รอการลงโทษไว้มาบวกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 กำหนดโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 158/2555 ของศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดนครสวรรค์มาบวกกับโทษจำคุกของจำเลยก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นส่งจำเลยไปควบคุมเพื่อฝึกอบรมจึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าว
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่กำหนดโทษที่รอการกำหนดโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 158/2555 ของศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดนครสวรรค์ และไม่บวกโทษ แต่เห็นควรเปลี่ยนโทษจำคุก 2 ปี เป็นส่งตัวจำเลยไปควบคุมเพื่อฝึกและอบรมที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน เขต 8 จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีกำหนด 3 ปี นับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 142 (1) นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8

Share