คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 583/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลย 9 คน โดยยื่นสำเนาฎีกาให้ศาลฉบับเดียว เพื่อส่งให้จำเลยที่ 1 ดังนี้ การที่โจทก์มิได้คัดสำเนาฟ้องฎีกาส่งศาลพร้อมฟ้องฎีกาเพื่อส่งให้จำเลยที่ 2 ถึง 9 แต่ศาลชั้นต้นได้สั่งรับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาแล้ว ในกรณีเช่นนี้ศาสฎีการับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไปได้
ในกรณีที่ส่งสำเนาฎีกาให้จำเลยไม่ได้เนื่องจากจำเลยออกไปนอกประเทศไทยนั้น ถือได้ว่าส่งไม่ได้ เพราะหาตัวไม่พบ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 201 แล้ว
ความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 38 นั้น เป็นกรณีที่เรือบรรทุกสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรตามช่องทางท่าอนุมัติ แต่การลักลอบนำสินค้าเข้ามาตามช่องทางซึ่งมิใช่ท่าอนุมัติ ไม่ผิดตามมาตรา 38
(ปัญหาข้อ 1 และ ข้อ 2 วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 26/2507)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้ง ๙ คน ร่วมกระทำผิดลักลอบนำยางพารา ๕๐๕ มัด ราคา ๑๙๘,๗๒๐ บาท ที่ต้องเสียภาษีศุลกากรขาเข้า ๕๔,๖๔๘ บาท และเป็นของต้องกำกัดควบคุมการนำเข้ามาในราชอาณาจักรไทย เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร กับนำสินค้าปลาเค็มตากแห้ง กะเพาะปลาตากแห้ง หูฉลาม รวมราคาสินค้าและค่าอากรทั้งสิ้น ๔๘๗,๑๙๙.๓๐ บาท บรรทุกเรือมีระวางบรรทุก ๘๓ ตัน จากดินแดนต่างประเทศเข้ามาในราชอาณาจักรไทยที่อ่าวกะตะ อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต ซึ่งมิใช่ท่าอนุมัติและเขตศุลกากรโดยมิได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร และมิได้ผ่านด่านศุลกากรภูเก็ตโดยถูกต้อง โดยมีเจตนาฉ้อค่าภาษี หลีกเลี่ยงอากรและไม่ได้เสียภาษีศุลกากร ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติศุลกากรและริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.๒๔๖๙ มาตรา ๒๗, ๓๒, ๓๘ ฯลฯ จำคุกคนละ ๖ เดือน จำเลยที่ ๒ ถึง ๙ ต้องขังมาพอแก่โทษให้ปล่อยตัวไป ริบของกลาง ฯลฯ
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ยกฟ้องในเหตุลักษณะคดี ปล่อยจำเลยทั้งหมดพ้นข้อหาของกลางคืนจำเลย
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกา แต่ส่งสำเนาฎีกาให้จำเลยที่ ๑ ได้คนเดียว ส่วนจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๙ ศาลชั้นต้นยังมิได้จัดการส่งสำเนาฎีกาให้จำเลย ศาลฎีกาได้มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นจัดการส่งสำเนาฎีกาให้ถูกต้อง โจทก์แถลงว่า ที่โจทก์ยื่นสำเนาฎีกาให้ศาลฉบับเดียวเพื่อส่งให้จำเลยที่ ๑ เพราะเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษา จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๙ ถูกขังมาพอแก่โทษ จึงปล่อยตัวไป คงขังจำเลยที่ ๑ คนเดียว โจทก์และจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๙ ไม่อุทธรณ์ คดีเฉพาะตัวจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๙ จึงยุติ เจ้าพนักงานส่งตัวจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๙ กลับประเทศพม่า ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องตลอดถึงจำเลยทุกคน โจทก์จึงฎีกา เนื่องจากจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๙ ไม่มีตัวอยู่ในประเทศไทย ถึงแม้โจทก์จะส่งสำเนาฎีกาต่อศาลครบจำนวนจำเลยก็ไม่มีประโยชน์ เพราะไม่อาจส่งสำเนาฎีกาให้แก่จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๙ ได้ จึงแถลงให้ศาลทราบ
ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า การที่โจทก์มิได้คัดสำเนาฟ้องฎีกาส่งศาลพร้อมกับฟ้องฎีกา เพื่อส่งให้จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๙ แต่ศาลชั้นต้นก็ได้สั่งรับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาแล้ว ในกรณีเช่นนี้ ศาลฎีการับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไปได้
และเห็นว่า ในกรณีที่ส่งสำเนาฎีกาให้จำเลยไม่ได้ เนื่องจากจำเลยออกไปนอกประเทศไทยนั้น ถือได้ว่าส่งไม่ได้เพราะหาตัวไม่พบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๐๑ แล้ว
และฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้นำเรือเข้ามาในราชอาณาจักรไทยเพื่อลักลอบขนสินค้าขึ้นฝั่งโดยเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากร และมีเจตนานำของเข้าโดยไม่รับอนุญาตดังฟ้อง
ส่วนที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.๒๔๖๙ มาตรา ๓๘ นั้น เห็นว่า ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายถึงความผิดตามมาตรานี้ และมาตรา ๓๘ เป็นกรณีที่เรือบรรทุกสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรตามช่องทางท่าอนุมัติ นายเรือจึงมีหน้าที่ทำรายงานแถลงรายละเอียดแห่งสินค้าที่บรรทุกมา แต่การกระทำของจำเลยในคดีนี้เป็นเรื่องจำเลยลักลอบนำสินค้าเข้ามาตามช่องทางซึ่งมิใช่ท่าอนุมัติ การกระทำของจำเลยจึงไม่ผิดตามมาตรา ๓๘
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เป็นว่า จำเลยทุกคนผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.๒๔๖๙ มาตรา ๒๗ จำคุกจำเลยคนละ ๖ เดือน จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๙ ต้องขังมาพอแก่โทษแล้วให้ปล่อยตัวไป ของกลางริบตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.๒๔๖๙ มาตรา ๓๒ พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ๙) พ.ศ.๒๔๘๒ มาตรา ๑๗ จ่ายสินบนนำจับและรางวัลเจ้าพนักงาน ยกฟ้องข้อที่ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.๒๔๖๙ มาตรา ๓๘

Share