คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5825/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์กลัวว่าจำเลยจะไม่ชำระหนี้แก่ธนาคารจึงให้จำเลยทำสัญญากู้เงินให้โจทก์ยึดถือไว้โดยไม่มีเจตนาที่จะกู้ยืมเงินกันจริง สัญญากู้ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 154 จำเลยไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินแก่โจทก์
เมื่อจำเลยอ้างถึงสำเนาโฉนดที่ดิน สำเนาสัญญาจำนอง สำเนาสัญญาค้ำประกัน และสำเนาสัญญากู้เงินถามค้านพยานโจทก์ โจทก์ก็มิได้คัดค้านสำเนาเอกสารนั้น ถือได้ว่าโจทก์ยอมรับว่าเป็นเอกสารที่ถูกต้องแท้จริง ศาลจึงรับฟังสำเนาเอกสารดังกล่าว เป็นพยานหลักฐานของจำเลยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93(1)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2539 จำเลยได้ยืมเงินโจทก์จำนวน 200,000 บาท ตกลงคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี โดยไม่ได้กำหนดเวลาชำระต้นเงินคืน หลังจากนั้นจำเลยไม่เคยชำระดอกเบี้ยให้โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 260,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีจากต้นเงินจำนวน 200,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2539 จำเลยได้กู้ยืมเงินจากธนาคารจำนวน 200,000 บาท โดยโจทก์จำนองที่ดินและค้ำประกันหนี้ดังกล่าวเพื่อนำเงินมาร่วมลงทุนกันระหว่างโจทก์กับจำเลย แต่โจทก์เกรงว่าจำเลยจะบิดพลิ้วไม่ผ่อนชำระหนี้คืนแก่ธนาคารเนื่องจากที่ดินจำนองเป็นของโจทก์จึงให้จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์จำนวน 200,000 บาท ยึดถือไว้โดยจำเลยไม่ได้รับเงิน ต่อมากิจการประสบการขาดทุน โจทก์และจำเลยไม่สามารถชำระหนี้คืนแก่ธนาคารสัญญากู้ที่ทำกันระหว่างโจทก์และจำเลยไม่มีผลบังคับ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2539 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2539 จำเลยได้ทำสัญญากู้เงินเพื่อการเกษตรจากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาชุมแพ จังหวัดขอนแก่น จำนวน 200,000 บาท โดยมีโจทก์เป็นผู้ค้ำประกันและจดทะเบียนจำนองที่ดินเพื่อประกันหนี้ดังกล่าวตามเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.4 ในวันเดียวกันจำเลยได้ทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์จำนวน 200,000 บาท ตามหนังสือสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า จำเลยต้องรับผิดตามหนังสือสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 หรือไม่ ข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่าโจทก์กลัวว่าจำเลยจะไม่ชำระหนี้แก่ธนาคารจึงให้จำเลยทำสัญญากู้เงินให้โจทก์ยึดถือไว้โดยไม่มีเจตนาที่จะกู้ยืมเงินกันจริง สัญญากู้ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 154 จำเลยไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 แก่โจทก์

ที่โจทก์ฎีกาว่า เอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.4 เป็นสำเนาโฉนดที่ดิน สำเนาสัญญาจำนอง สำเนาสัญญาค้ำประกัน และสำเนาสัญญากู้เงินรับฟังเป็นพยานหลักฐานจำเลยไม่ได้ เพราะประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93 ให้ยอมรับฟังได้แต่ต้นฉบับเอกสารเท่านั้น เห็นว่าเมื่อจำเลยอ้างถึงเอกสารดังกล่าวถามค้านพยานโจทก์ โจทก์มิได้คัดค้านสำเนาเอกสารนั้น ข้อเท็จจริงกลับได้ความตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 26 พฤศจิกายน 2541 ว่า โจทก์ไม่คัดค้านสำเนาเอกสารถือได้ว่าโจทก์ยอมรับสำเนาเอกสารดังกล่าวว่าเป็นเอกสารที่ถูกต้องแท้จริง ศาลจึงรับฟังสำเนาเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.4 เป็นพยานหลักฐานของจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93(1)

พิพากษายืน

Share