แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การรถไฟแห่งประเทศไทยรับโอนกิจการของกรมรถไฟ กระทรวงคมนาคม มาโดยผลของกฎหมาย จึงไม่ใช่ลักษณะ โอนหนี้ และฉะนั้น กรมรถไฟจึงไม่ต้องแจ้งการโอนหนี้ให้ลูกหนี้ทราบ.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์เป็นกรมรถไฟ บัดนี้เปลี่ยนเป็นการรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นนิติบุคคลรับโอนกิจการมาตาม พ.ร.บ.การรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ.๒๔๙๔ เมื่อโจทก์ยังเป็นกรมรถไฟอยู่ จำเลยทำสัญญาเช่าโรงเก็บสินค้าของโจทก์ มีกำหนด ๓ ปี ตามสัญญามีว่า เมื่อมีกรณีจำเป็นอย่างยิ่งผู้ให้เช่ามีสิทธิจะเลิกสัญญาเรียกโรงเก็บสินค้าคืนได้โดยบอก กล่าวล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๓๐ วัน เมื่อเปลี่ยนเป็นการรถไฟฯ แล้วโจทก์บอกเลิกสัญญาเช่า จำเลยยังไม่คืนโรงเก็บสินค้า ให้ ขอให้บังคับจำเลยคืนโรงเก็บสินค้าและใช้ค่าเช่าที่ค้างและค่าเสียหายให้แก่โจทก์
จำเลยต่อสู้ว่า การโอนหนี้ระหว่างกรมรถไฟและการรถไฟฯ เกี่ยวกับการเช่าของจำเลยมิได้ทำกันเป็นหนังสือ ไม่ได้แจ้ง เป็นหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยทราบและต่อสู้ในข้ออื่น ๆ อีก
ศาลแพ่งเห็นว่า ตาม พ.ร.บ.การรถไฟฯ พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๖(๑), ๑๐ โจทก์ย่อมมีสิทธิและหน้าที่เช่นเดียวกับกรมรถไฟ เดิมโดยบทบัญญัติของกฎหมายอยู่ในตัว ไม่ต้องทำพิธีโอนหนี้กันตาม ป.พ.พ. และโจทก์ก็ได้บอกเลิกสัญญากับจำเลย แล้ว พิพากษาให้จำเลยคืนโรงเก็บสินค้าและใช้ค่าเช่าที่ค้างและค่าเสียหายให้แก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์หรือกรมรถไฟต้องแจ้งการโอนหนี้ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๓๐๖ และว่า พ.ร.บ.การ รถไฟฯ พ.ศ.๒๔๙๔ หาได้ลบล้างหน้าที่ตาม ป.พ.พ.มาตรา ๓๐๖ ไม่ นั้น เห็นว่ากรณีนี้หาใช่เรื่องการโอนหนี้ตามความ มุ่งหมายของ ป.พ.พ.มาตรา ๓๐๖ ไม่ การรถไฟฯรับโอนกิจการของกรมรถไฟมาโดยอำนาจของกฎหมาย ไม่ใช่ลักษณะ โอนหนี้ ส่วนฎีกาข้ออื่นก็เห็นพ้องกับที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมา จึงพิพากษายืน.