คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1206/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แพซุงของจำเลยขาดลอยตามน้ำที่ไหลเชี่ยว ไปกระทบเสาเรือนโจทก์เสียหายแม้โจทก์จะไม่มีพยานสืบว่า เป็นเพราะเหตุใดแพจึงขาดจำเลยก็ต้องรับผิด เพราะเป็นหน้าที่จำเลยจะต้องระวังรักษาไม่ให้แพซุงขาดลอยไปตามกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว
จ้างคนดูแลรักษาแพซุง มีหนังสือสัญญารับฝากให้ค่าจ้างเฝ้าเป็นรายเดือน เป็นการจ้างแรงงาน นายจ้างต้องรับผิดในละเมิดของลูกจ้าง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2497 เวลากลางวัน ซึ่งเป็นเวลาน้ำไหลลงเชี่ยว แพไม้ซุงของจำเลยจำนวน 60 ต้นเศษ ได้ขาดลอยจากตำบลบางโพ อำเภอดุสิต จังหวัดพระนคร ไปปะทะเสาคอนกรีตรองรับเรือนแพของโจทก์ ซึ่งปลูกในแม่น้ำเจ้าพระยา ตำบลบางพลัดอำเภอบางกอกน้อย จังหวัดธนบุรี โดยความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ไม่ผูกมัดแพซุงไว้ให้ดีเป็นเหตุให้เสาคอนกรีตรองรับเรือนแพแถวหน้าหักและเอนไปจากที่เดิม 3 ต้น ทำให้ตัวเรือนเคลื่อนที่ไปจากเดิมและทรุดเอียง ซึ่งจะต้องเสียค่าซ่อมแซมให้คงสภาพเดิมเป็นเงินอย่างต่ำ 13,400 บาท โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยซ่อมแซมให้โจทก์ จำเลยไม่จัดการซ่อมแซมให้ ทำให้คนเช่าไม่กล้าเข้าอยู่โจทก์ต้องขาดประโยชน์ค่าเช่าที่ควรได้อีกเดือนละ 250 บาท จึงฟ้องขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 13,400 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี กับค่าเช่าที่ควรได้เดือนละ 250 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าคดีจะถึงที่สุด

จำเลยให้การต่อสู้ว่า โจทก์เป็นเจ้าของเรือนแพจริงหรือไม่จำเลยไม่รับรอง การปลูกเรือนในแม่น้ำเจ้าพระยา โดยปักเสาคอนกรีตในแม่น้ำเป็นการกีดขวางทาง ขณะเกิดเหตุแพซุงรายนี้อยู่ในความดูแลรักษาของผู้อื่นโดยจำเลยว่าจ้างให้เป็นผู้ดูแลรักษา จำเลยจึงไม่มีหน้าที่รับผิดชอบ แพซุงนี้อยู่คนละฝั่งแม่น้ำกับเรือนที่ว่าเป็นของโจทก์ หากแพซุงไปปะทะเรือนโจทก์ก็เพราะมีผู้อื่นผลักให้ไปปะทะ ลำพังกระแสน้ำไม่มีเหตุที่จะพัดข้ามฟากไปโดนเรือนโจทก์ได้ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องไม่ได้แสดงรายการ เป็นการเคลือบคลุมหากจะฟังว่าเสียหายก็ไม่เท่าที่ฟ้อง ค่าเช่าที่เรียกร้องก็แพงเกินไปถ้าเช่าจริงก็ไม่เกินเดือนละ 50 บาท โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าป่วยการร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ไม่ใช่ความผิดของจำเลย ขอให้ยกฟ้อง

ศาลแพ่งพิจารณาแล้วฟังว่า เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2497 แพไม้ของจำเลย 4 ตับ ประมาณ 60 ท่อน ซึ่งจอดอยู่หน้าโรงเลื่อยของจำเลยที่ตำบลบางโพได้ขาดลอยไปตามแม่น้ำเจ้าพระยา ขณะเกิดเหตุลมจัดพัดข้ามไปทางฝั่งตะวันตก แพไม้ของจำเลยจึงชนเสาเรือนโจทก์ ทำให้เรือนโจทก์เสียหาย เสาซิเมนต์ 3 ต้น ต้นหนึ่งหักที่คอดินซิเมนต์กะเทาะเหลือแต่แกนเหล็ก อีก 2 ต้น ซิเมนต์กะเทาะและเอนไป ทำให้ตัวเรือนทรุดและเอน คิดค่าซ่อมแซมเป็นเงิน 13,400 บาท ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ว่า นายด๊วดรับฝากแพไม้นี้ไม่น่าเชื่อ พฤติการณ์ส่อแสดงไปว่า นายด๊วดเป็นลูกจ้างเฝ้าแพไม้ของจำเลยมากกว่า จำเลยต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ส่วนค่าเช่าที่เรียกร้องนั้นได้ความว่าเรือนโจทก์ปิดไว้เฉย ๆ มิได้ให้เช่า จะเรียกร้องเงินจำนวนนี้ไม่ได้จึงพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เป็นเงิน 13,400 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษายืน

จำเลยฎีกาต่อมา

ศาลฎีกาได้ฟังคำแถลงการณ์และประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ตามทางพิจารณาว่า เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2497 เวลาราว 16 น. แพซุงของจำเลย 4 ตับ มีไม้ประมาณ 60 ท่อน ซึ่งจอดอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาหน้าโรงเลื่อยของจำเลยที่ตำบลบางโพ อำเภอดุสิตจังหวัดพระนคร ได้ขาดลอยไปตามลำน้ำเจ้าพระยา ในเวลานั้นเป็นหน้าน้ำไหลลงเชี่ยวและลมพัดจัดได้พัดพาเอาแพซุงของจำเลยไปทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาแล้วมาชนเอาเสาเรือนแพของโจทก์ซึ่งปลูกสร้างอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ตำบลบางพลัด อำเภอบางกอกน้อยจังหวัดธนบุรี เป็นเหตุให้เสาซิเมนต์รองรับเรือนแพของโจทก์ชำรุดเสียหายรวม 3 ต้น ทำให้เรือนแพเอียงทรุดไป

จำเลยฎีกาขึ้นมามีใจความว่า 1. จำเลยไม่ได้ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงดังโจทก์ฟ้อง เหตุที่แพซุงไปปะทะกับเสาเรือนโจทก์เป็นเพราะการกระทำของผู้อื่น จำเลยไม่ต้องรับผิด 2. ขณะเกิดเหตุแพซุงอยู่ในความครอบครองดูแลรักษาของผู้อื่น จำเลยจึงไม่ต้องรับผิด 3. โจทก์ไม่เสียหายเท่าที่ฟ้อง อย่างมากค่าเสียหายที่ต้องซ่อมแซมเสาเรือนที่กะเทาะ 1 ต้น ประมาณ 500 บาท 4. โจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์เรือนที่โจทก์ฟ้อง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย

ศาลฎีกาจะได้วินิจฉัยข้อฎีกาของจำเลยตามลำดับไป

ในปัญหาข้อ 1 ตามข้อเท็จจริงในท้องสำนวนเป็นที่รับฟังได้ชัดว่า แพซุงที่ไปชนเสาเรือนโจทก์เป็นของจำเลยได้ขาดหลุดลอยไปจากที่จอดริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาหน้าโรงเลื่อยของจำเลยฝั่งพระนครจริง ขณะนั้นเป็นหน้าน้ำไหลเชี่ยวแพซุงที่ขาดไหลลอยตามน้ำนั้น ไม่มีคนควบคุมระมัดระวังอย่างใดเลย พยานของจำเลยที่นำสืบว่าจำเลยจ้างนายด๊วดเป็นผู้เฝ้าดูแลรักษาแพซุงนี้ไว้โดยเสียค่าจ้างให้นั้น กลับปรากฏจากพยานจำเลยเองว่า ในเวลากลางวันนายด๊วดไม่ได้เฝ้าอยู่ดูแล คงเฝ้าแต่เวลากลางคืนเท่านั้น ข้อเท็จจริงปรากฏชัดว่าแพซุงขาดลอยตามกระแสน้ำไปตอนบ่าย ซึ่งเป็นเวลากลางวัน ถ้านายด๊วดผู้รับจ้างเฝ้าดูแลรักษาไม่ละเลยต่อหน้าที่ ได้ใช้ความระมัดระวังดูแลตรวจตราให้ดีแล้วไหนเลยแพซุงจะขาดหลุดไหลลอยไปตามกระแสน้ำเป็นตับ ๆ ไปถึง 4 ตับ และก็ไม่ปรากฏตามทางพิจารณาว่า เหตุที่แพซุงขาดหลุดไหลลอยไปเป็นเพราะการกระทำของผู้อื่นแต่ประการใดเหตุที่แพซุงไปปะทะกับเสาเรือนโจทก์ ๆ ก็มีประจักษ์พยานเห็นขณะเกิดชนเสาเรือนโจทก์ว่า ไม่ได้เกิดจากผู้อื่นกระทำ ศาลฎีกาคงเห็นพ้องด้วย ข้อวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ว่าเรือนของโจทก์หาใช่ว่าอยู่ตรงข้ามกับที่จอดแพซุงของจำเลยไม่ แพซุงของจำเลยไหลลอยมาตามกระแสน้ำจากตำบลบางโพผ่านมาไกล ย่อมไหลจากแหลมไปหาคุ้งน้ำได้เรือนโจทก์อยู่บางพลัด กระแสน้ำและลมย่อมพัดพาเอาแพซุงให้ไหลลอยไปอีกฝั่งหนึ่งได้ แม้โจทก์จะไม่มีพยานนำสืบถึงสาเหตุที่ทำให้แพซุงของจำเลยหลุดลอยตามกระแสน้ำอันเชี่ยวในฤดูน้ำว่าเป็นเพราะอะไร จะใช่ความประมาทเลินเล่อของจำเลยหรือไม่ก็ดี ก็ย่อมเป็นหน้าที่ของจำเลย ซึ่งเป็นเจ้าของแพซุงจะต้องระมัดระวังดูแลรักษาแพซุงของตนไว้ เพราะย่อมเห็นได้โดยธรรมดาว่า แพซุงที่จอดอยู่ริมแม่น้ำ น้ำไหลเชี่ยวอาจหลุดลอยไปตามกระแสน้ำไป ทำให้ทรัพย์สินของผู้อื่นชำรุดเสียหายได้ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยเป็นอันฟังไม่ได้

ในปัญหาข้อ 2 เรือนแพซุงอยู่ในความครอบครองดูแลรักษาของผู้อื่น จำเลยไม่ต้องรับผิดนั้น จำเลยนำสืบว่า จำเลยได้จ้างนายด๊วดพยานจำเลยเป็นผู้ดูแลรักษา มีหนังสือสัญญารับฝากแพซุงนั้น ปรากฏว่าจำเลยให้ค่าจ้างเฝ้าเป็นรายเดือน ลักษณะการจ้างของจำเลยเป็นสัญญาจ้างแรงงานตรงตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ตามความใน มาตรา 575แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ คือ นายด๊วดเป็นลูกจ้างของจำเลยตกลงจะทำงานเฝ้าดูแลรักษาแพซุงของจำเลย ซึ่งเรียกว่า นายจ้างและจำเลยตกลงจะให้เงินเป็นสินจ้างตลอดเวลาที่จำเลยเฝ้าดูแลรักษาแพซุงให้ เมื่อปรากฏว่านายด๊วดประมาทเลินเล่อไม่ดูแล ระมัดระวังรักษาแพซุงที่ตนมีหน้าที่ตามสัญญา เป็นเหตุให้แพซุงขาดหลุดลอยไปตามกระแสน้ำอันเชี่ยว เป็นเหตุไปชนเอาเสาเรือนแพของโจทก์เสียหายย่อมเป็นการละเมิด นายจ้าง คือ จำเลยจึงต้องร่วมกันรับผิดกับนายด๊วดซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยในผลแห่งการละเมิด ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 425 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ด้วย จำเลยจะเถียงปัดความรับผิดชอบต่อโจทก์อันเป็นบุคคลภายนอกโยนไปให้นายด๊วดรับผิดตามสัญญาหาได้ไม่ เป็นการเถียงบทบัญญัติของกฎหมายอย่างชัด ๆฎีกาข้อนี้ของจำเลยเป็นอันฟังไม่ได้อีก

ในปัญหาข้อ 3 เรื่องโจทก์เสียหายเท่าที่ฟ้องเรียกหรือไม่นั้นคำพยานหลักฐานฝ่ายโจทก์นำสืบได้ความสม ทั้งพยานของจำเลยเองกลับเจือสมพยานโจทก์ด้วยซ้ำไป เพราะนายยู่เคี้ยงช่างผู้ก่อสร้างพยานของจำเลยเองตีราคาค่าหล่อเสาใหม่ต้นหนึ่งถึง 6,000 บาท สูงกว่าราคาที่ช่างของโจทก์กะราคาเสียอีก ข้อเถียงของจำเลยเป็นอันฟังไม่ได้

ในปัญหาข้อ 4 ที่จำเลยเถียงว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะโจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์เรือนรายพิพาทนั้น ทางพิจารณาได้ความจากโจทก์ว่า โจทก์ได้ขายที่ดินไปแล้ว แต่เรือนแพรายพิพาทโจทก์มิได้ขายยังเป็นของโจทก์อยู่จำเลยไม่มีพยานหลักฐานอย่างใดมาหักล้างฎีกาข้อนี้ของจำเลยจึงฟังไม่ได้

สรุปแล้ว ฎีกาของจำเลยเป็นอันฟังไม่ขึ้น ศาลอุทธรณ์พิพากษามาชอบแล้ว

จึงพิพากษายืน ให้ยกฎีกาจำเลยเสีย ให้จำเลยใช้ค่าทนายในชั้นฎีกาเป็นเงิน 300 บาท แทนโจทก์

Share