คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5818/2549

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 290 พ.ร.บ.สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบลฯ มาตรา 23 และ พ.ร.บ.องค์การบริหารส่วนจังหวัดฯ มาตรา 45 แสดงให้เห็นว่า ทั้งโจทก์ที่ 1 และที่ 2 มีหน้าที่ในการคุ้มครองดูแลและบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดังนั้น เมื่อโจทก์ที่ 1 และที่ 2 อ้างว่าจำเลยที่ 4 และที่ 5 พยายามทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมภายในเขตที่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 มีหน้าที่รับผิดชอบ โจทก์ที่ 1 และที่ 2 จึงมีอำนาจฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งห้ามมิให้จำเลยที่ 4 และที่ 5 กระทำหรือขอให้บังคับจำเลยที่ 4 และที่ 5 ปรับปรุงแก้ไขหาดมาหยาให้กลับคืนสภาพเดิมตามธรรมชาติได้ ซึ่งรวมทั้งฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ที่มีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยที่ 4 และที่ 5 เข้าไปถ่ายทำภาพยนตร์ได้ด้วย
ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 46 บัญญัติว่า บุคคลซึ่งรวมกันเป็นชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมย่อมมีสิทธิอนุรักษ์หรือฟื้นฟูจารีตประเพณีภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปะหรือวัฒนธรรมอันดีของท้องถิ่นและของชาติ และมีส่วนร่วมในการจัดการ การบำรุงรักษา และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืน ทั้งนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ จะเห็นได้ว่า คำว่า “ชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมยังไม่มีคำนิยามความหมายหรือขอบเขตที่แน่นอน ทั้งบทบัญญัติมาตรานี้มีเงื่อนไขที่ต้องมีกฎหมายบัญญัติออกมาตามมาตรานี้ เมื่อในขณะที่โจทก์ที่ 3 ถึงที่ 19 ฟ้องยังไม่มีกฎหมายบัญญัติออกมาใช้บังคับ ดังนั้นยังไม่อาจถือได้ว่ามีการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ที่ 3 ถึงที่ 19 แล้วโจทก์ที่ 3 ถึงที่ 19 จึงยังไม่มีอำนาจฟ้อง
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง บัญญัติว่า คำฟ้องต้องแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ตามฟ้องของโจทก์ทั้งสิบเก้าได้บรรยายถึงสภาพแห่งข้อหาคือ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ได้อนุญาตให้จำเลยที่ 4 และที่ 5 เข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องเดอะบีชในอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา หมู่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ ทำให้เปลี่ยนแปลงสภาพของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกระทบต่อสิทธิประโยชน์และคุณภาพชีวิตของโจทก์ทั้งสิบเก้า คำขอบังคับคือให้จำเลยทั้งห้าปรับปรุงแก้ไขหาดมาหยาให้กลับคืนสู่สภาพเดิมตามธรรมชาติ โดยค่าใช้จ่ายของจำเลยที่ 4 และที่ 5 และให้เพิกถอนใบอนุญาตให้จำเลยที่ 4 และที่ 5 เข้าถ่ายทำภาพยนตร์ดังกล่าว และข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาคือ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้โจทก์ทั้งสิบเก้าจะมิได้บรรยายถึงการทำละเมิด ค่าเสียหายหรือความเสียหายต่อทรัพยกรธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อมเป็นมูลค่าเท่าใดก็มิใช่ข้อสำคัญ เพราะโจทก์ทั้งสิบเก้ามิได้ฟ้องว่าจำเลยทั้งห้าทำละเมิด ทำให้โจทก์ทั้งสิบเก้าเสียหายโดยเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนแต่โจทก์ทั้งสิบเก้าฟ้องขอให้ปรับปรุงหาดมาหยาให้กลับคืนสภาพเดิม แม้โจทก์ทั้งสิบเก้าจะมิได้บรรยายว่าสภาพเดิมตามธรรมชาติของหาดมาหยาเป็นอย่างไรถูกปรับเปลี่ยนอย่างไร อันเป็นเหตุให้น้ำ อาหาร อากาศ ชายหาด ต้นไม้ ภูเขา ระบบนิเวศน์ หรือสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงเสียหายหรือเกิดมลพิษอย่างไรก็มิใช่ข้อสำคัญเพราะโจทก์ทั้งสิบเก้าอาจนำมาสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์ทั้งสิบเก้าจึงไม่เคลือบคลุมและชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง แล้ว
คำขอท้ายฟ้องของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ที่ขอให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันหรือแทนกันวางเงินประกันความเสียหายไม่น้อยกว่า 100,000,000 บาท ถ้าจำเลยทั้งห้าไม่วางเงินประกัน ให้ศาลมีคำสั่งห้ามกระทำการใดๆ เพื่อกระทำการปรับปรุงตกแต่งบริเวณอ่าวมาหยา เป็นคำขอห้ามมิให้ฝ่ายจำเลยกระทำการใดเพื่อกระทำการปรับปรุงแตกแต่งบริเวณอ่าวมาหยา หากไม่วางเงินประกันความเสียหายไม่น้อยกว่า 100,000,000 บาท แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยที่ 5 ได้กระทำการปรับปรุงตกแต่งบริเวณอ่าวมาหยาไปแล้ว และได้ถ่ายทำภายพยนตร์เสร็จเรียบร้อยทั้งได้ออกไปจากบริเวณอ่าวมาหยาแล้วตั้งแต่ก่อนวันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาจึงไม่มีเหตุที่จะสั่งให้จำเลยทั้งห้าปฏิบัติตามคำขอข้อนี้ได้
แม้คำสั่งทางการปกครองที่เจ้าหน้าที่ออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายอาจถูกเพิกถอนได้ แต่สำหรับคดีนี้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ฟ้องคดีอ้างว่าคำสั่งทางปกครองของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ที่อนุญาตให้จำเลยที่ 4 เข้าไปถ่ายภาพยนตร์บริเวณอ่าวมาหยาไม่ชอบด้วยกฎหมายเป็นโมฆะ ขอให้เพิกถอนก็เพื่อมิให้จำเลยที่ 4 และที่ 5 เข้าไปถ่ายทำภาพยนตร์ในบริเวณหาดมาหยา แต่เมื่อจำเลยที่ 5 เข้าไปถ่ายทำภาพยนตร์ตามใบอนุญาตเสร็จเรียบร้อยจนนำออกฉายทั่วโลกแล้วการเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 จึงไม่บังเกิดผลในทางปฏิบัติแต่อย่างใดดังนั้น คำขอที่ให้มีคำสั่งว่าการที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 อนุญาตให้จำเลยที่ 4 เข้าไปถ่ายทำภาพยนตร์บริเวณอ่าวมาหยา หมู่เกาะพีพี เป็นโมฆะ เพราะเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและคำขอที่ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 มีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตให้จำเลยที่ 4 และที่ 5 เข้าทำการถ่ายทำภาพยนตร์บริเวณหาดมาหยานั้น จึงไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาต่อไป

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสิบเก้าฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้พิพากษาว่า คำสั่งของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ที่อนุญาตให้จำเลยที่ 4 เข้าไปถ่ายทำภาพยนตร์บริเวณอ่าวมาหยา หมู่เกาะพีพีเป็นโมฆะ เพราะเป็นคำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันหรือแทนกันวางเงินประกันความเสียหายไม่น้อยกว่า 100,000,000 บาท ถ้าจำเลยทั้งห้าไม่วางเงินประกันให้ศาลมีคำสั่งห้ามกระทำการใดๆ เพื่อกระทำการปรับปรุง ตกแต่งบริเวณอ่าวมาหยา ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 มีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตให้จำเลยที่ 4 และที่ 5 เข้าทำการถ่ายทำภาพยนตร์บริเวณชายหาดมาหยา ให้จำเลยทั้งห้าปรับปรุงแก้ไขหาดมาหยาให้กลับคืนสภาพเดิมตามธรรมชาติ โดยค่าใช้จ่ายของจำเลยที่ 4 และที่ 5
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาคดีจำเลยที่ 4 และที่ 5 ยื่นคำร้องให้งดสืบพยาน เนื่องจากคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ทั้งสิบเก้าไม่อาจก่อให้เกิดสภาพบังคับได้ เพราะขณะที่โจทก์ทั้งสิบเก้ายื่นฟ้อง จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ได้มีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยที่ 4 และที่ 5 เข้าไปถ่ายทำภาพยนตร์ และการปรับปรุงอ่าวมาหยาและการถ่ายทำภาพยนตร์ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว จำเลยที่ 4 และที่ 5 ได้ฟื้นฟูอ่าวมาหยาให้กลับคืนสู่สภาพเดิมตามข้อตกลง และจำเลยที่ 3 ได้คืนหลักประกันให้แก่จำเลยที่ 5 แล้ว โจทก์ทั้งสิบเก้าคัดค้าน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์ทั้งสิบเก้าและพยานจำเลยทั้งห้าและพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสิบเก้าอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่งดสืบพยานและคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาประเด็นข้อพิพาทตามคำขอท้ายฟ้องข้อ 4 ของโจทก์ทั้งสิบเก้าต่อไป แล้วมีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ทั้งสิบเก้า จำเลยที่ 4 และที่ 5 ฎีกา
ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 5 ว่า โจทก์ทั้งสิบเก้ามีอำนาจฟ้องคดีนี้หรือไม่ โดยจำเลยที่ 5 อ้างว่าโจทก์ทั้งสิบเก้ามิได้ถูกโต้แย้งสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 คำสั่งของจำเลยที่ 3 ที่อนุญาตให้บริษัทถ่ายทำภาพยนตร์บีช โปรดักชั่น จำกัด ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องเดอะบีช บนอ่าวมาหยาตามเอกสารหมาย จ.8 จะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น รัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย โจทก์ทั้งสิบเก้ามิใช่ผู้เสียหายเป็นพิเศษจึงไม่มีอำนาจฟ้อง เห็นว่า ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติไว้ดังนี้
มาตรา 290 เพื่อส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นย่อมมีอำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายบัญญัติ
กฎหมายตามวรรคหนึ่งอย่างน้อยต้องมีสาระสำคัญดังต่อไปนี้
(1) การจัดการ การบำรุงรักษา และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่อยู่ในเขตพื้นที่
(2) การเข้าไปมีส่วนในการบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่อยู่นอกเขตพื้นที่เฉพาะในกรณีที่อาจมีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของประชาชนในพื้นที่ของตน
(3) การมีส่วนร่วมในการพิจารณาเพื่อริเริ่มโครงการหรือกิจกรรมใดนอกเขตพื้นที่ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมหรือสุขภาพอนามัยของประชาชนในพื้นที่
และพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ.2537 มาตรา 23 บัญญัติว่า ภายใต้บังคับแห่งกฎหมาย สภาตำบลอาจดำเนินกิจการภายในตำบล ดังต่อไปนี้…
(4) คุ้มครองดูแลและบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม…
กับพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ.2540 มาตรา 45 บัญญัติว่า องค์การบริหารส่วนจังหวัดมีอำนาจหน้าที่ดำเนินกิจการภายในเขตองค์การบริหารส่วนจังหวัด ดังต่อไปนี้…
(7) คุ้มครองดูแล และบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ตามบทบัญญัติของกฎหมายที่กล่าวมาแล้วแสดงให้เห็นว่า ทั้งโจทก์ที่ 1 และที่ 2 มีหน้าที่ในการคุ้มครองดูแลและบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดังนั้น เมื่อโจทก์ที่ 1 และที่ 2 อ้างว่าจำเลยที่ 4 และที่ 5 พยายามทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมภายในเขตที่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 มีหน้าที่รับผิดชอบ โจทก์ที่ 1 และที่ 2 จึงมีอำนาจฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งห้ามมิให้จำเลยที่ 4 และที่ 5 กระทำหรือขอให้บังคับจำเลยที่ 4 และที่ 5 ปรับปรุงแก้ไขหาดมาหยาให้กลับคืนสภาพเดิมตามธรรมชาติได้ ซึ่งรวมทั้งฟ้อง จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ที่มีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยที่ 4 และที่ 5 เข้าไปถ่ายทำภาพยนตร์ได้ด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 5 ในส่วนนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า โจทก์ที่ 3 ถึงที่ 19 ซึ่งอ้างว่าตนเป็นบุคคลในชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมของจังหวัดกระบี่ จะมีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 46 บัญญัติว่า บุคคลซึ่งรวมกันเป็นชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมย่อมมีสิทธิอนุรักษ์หรือฟื้นฟูจารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปะหรือวัฒนธรรมอันดีของท้องถิ่นและของชาติ และมีส่วนร่วมในการจัดการ การบำรุงรักษา และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืน ทั้งนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ
จะเห็นได้ว่า คำว่า “ชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมยังไม่มีคำนิยามความหมายหรือขอบเขตที่แน่นอน ทั้งบทบัญญัติมาตรานี้มีเงื่อนไขที่ต้องมีกฎหมายบัญญัติออกมาตามมาตรานี้ เมื่อในขณะที่โจทก์ที่ 3 ถึงที่ 19 ฟ้องยังไม่มีกฎหมายบัญญัติออกมาใช้บังคับ ดังนั้นยังไม่อาจถือได้ว่ามีการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ที่ 3 ถึงที่ 19 แล้ว โจทก์ที่ 3 ถึงที่ 19 จึงยังไม่มีอำนาจฟ้อง ฎีกาของจำเลยที่ 5 ในส่วนนี้ฟังขึ้น ดังนั้นโจทก์ที่ 3 ถึงที่ 19 จึงไม่มีสิทธิฎีกา
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 4 ว่า ฟ้องของโจทก์ทั้งสิบเก้าเคลือบคลุมหรือไม่ โดยจำเลยที่ 4 ฎีกาว่า โจทก์ทั้งสิบเก้ามิได้บรรยายฟ้องให้เห็นโดยชัดแจ้ง ซึ่งศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คำขอท้ายฟ้องข้อ 4 ของโจทก์ทั้งสิบเก้าเคลือบคลุมโดยศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยในประเด็นดังกล่าว แต่วินิจฉัยให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาตามคำขอท้ายฟ้องข้อ 4 ใหม่ ยังไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่าที่ศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาประเด็นข้อพิพาทตามคำขอท้ายฟ้องข้อ 4 ของโจทก์ทั้งสิบเก้าต่อไป แสดงว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในข้อนี้แล้วว่าฟ้องโจทก์ทั้งสิบเก้าไม่เคลือบคลุม ที่จำเลยที่ 4 ฎีกาว่าฟ้องโจทก์ทั้งสิบเก้าเคลือบคลุมนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง บัญญัติว่า คำฟ้องต้องแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ตามฟ้องของโจทก์ทั้งสิบเก้าได้บรรยายถึงสภาพแห่งข้อหา คือ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ได้อนุญาตให้จำเลยที่ 4 และที่ 5 เข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องเดอะบีชในอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ ธารา หมู่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ ทำให้เปลี่ยนแปลงสภาพของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกระทบต่อสิทธิประโยชน์และคุณภาพชีวิตของโจทก์ทั้งสิบเก้า คำขอบังคับคือให้จำเลยทั้งห้าปรับปรุงแก้ไขหาดมาหยาให้กลับคืนสภาพเดิมตามธรรมเชาติโดยค่าใช้จ่ายของจำเลยที่ 4 และที่ 5 และให้เพิกถอนใบอนุญาตให้จำเลยที่ 4 และที่ 5 เข้าถ่ายทำภาพยนตร์ดังกล่าว และข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาคือ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้โจทก์ทั้งสิบเก้าจะมิได้บรรยายถึงการทำละเมิด ค่าเสียหายหรือความเสียหายต่อทรัพยากรธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อมเป็นมูลค่าเท่าใดก็มิใช่ข้อสำคัญ เพราะโจทก์ทั้งสิบเก้ามิได้ฟ้องว่าจำเลยทั้งห้าทำละเมิดทำให้โจทก์ทั้งสิบเก้าเสียหายโดยเรียกค่าสินไหมทดแทน แต่โจทก์ทั้งสิบเก้าฟ้องขอให้ปรับปรุงหาดมาหยาให้กลับคืนสภาพเดิม แม้โจทก์ทั้งสิบเก้าจะมิได้บรรยายว่าสภาพเดิมตามธรรมชาติของหาดมาหยาเป็นอย่างไร ถูกปรับเปลี่ยนอย่างไรอันเป็นเหตุให้น้ำ อาหาร อากาศ ชายหาด ต้นไม้ ภูเขา ระบบนิเวศน์ หรือสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงเสียหายหรือเกิดมลพิษอย่างไรก็ไม่ใช่ข้อสำคัญเพราะโจทก์ทั้งสิบเก้าอาจนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์ทั้งสิบเก้าจึงไม่เคลือบคลุมและชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง แล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 4 ฟังไม่ขึ้น
จำเลยที่ 4 และที่ 5 ฎีกาว่า คำขอท้ายฟ้องของโจทก์ทั้งสิบเก้าในข้อ 4 นั้นโจทก์ทั้งสิบเก้าต้องการให้จำเลยที่ 4 และที่ 5 ยุติการถ่ายทำภาพยนตร์ทันที เพราะขณะโจทก์ทั้งสิบเก้ายื่นฟ้องนั้น ระยะเวลาที่ถ่ายทำภาพยนตร์ตามคำสั่งของจำเลยที่ 2 ยังไม่เสร็จสิ้น เมื่อระหว่างพิจารณาปรากฏว่าภาพยนตร์ได้ถ่ายทำเสร็จแล้วประมาณต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2542 คำขอท้ายฟ้องข้อ 1 ถึงข้อ 3 ไม่อาจบังคับได้ต่อไป และคำขอท้ายฟ้องข้อ 4 ก็ดำเนินการเสร็จสิ้นจนจำเลยที่ 3 คืนหลักประกันคือหนังสือค้ำประกันธนาคารจำนวน 5,000,000 บาท ให้แก่จำเลยที่ 5 ไปแล้ว คำข้อท้ายฟ้องของโจทก์ทั้งสิบเก้าข้อ 4 จึงตกไปด้วย นอกจากนี้ จำเลยที่ 4 และที่ 5 ก็ได้ปรับปรุงหาดมาหยาให้เป็นไปตามสภาพเดิมแล้ว การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ย้อนสำนวนไปสืบพยานตามคำขอท้ายฟ้องข้อ 4 จึงไม่เป็นประโยชน์อีก เห็นว่า โจทก์ทั้งสิบเก้าฟ้องอ้างว่า จำเลยที่ 4 และที่ 5 เข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องเดอะบีชในอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา หมู่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ ทำให้เปลี่ยนแปลงสภาพธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกระทบต่อสิทธิประโยชน์และคุณภาพชีวิตของโจทก์ทั้งสิบเก้า โดยมีคำขอบังคับให้จำเลยทั้งห้าปรับปรุงแก้ไขหาดมาหยาให้กลับคืนสภาพเดิมตามธรรมชาติ จำเลยที่ 4 และที่ 5 ฎีกาโต้เถียงว่าได้ปรับปรุงหาดมาหยาให้กลับคืนสภาพเดิมจนจำเลยที่ 3 คืนหลักประกันหนังสือค้ำประกันธนาคารให้แก่จำเลยที่ 5 แล้ว จึงเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงกันอยู่ว่า การถ่ายทำภาพยนตร์ทำให้เปลี่ยนแปลงสภาพธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือไม่ และจำเลยทั้งห้าได้ปรับปรุงแก้ไขให้กลับคืนตามสภาพเดิมแล้วหรือไม่ ซึ่งควรต้องฟังยุติให้ชัดเจนก่อน ส่วนการคืนหลักประกันให้ไม่ได้แสดงว่าได้ปรับปรุงสิ่งแวดล้อมให้กลับคืนตามสภาพเดิมตามธรรมชาติที่ควรจะเป็น ข้ออ้างของจำเลยที่ 4 และที่ 5 จึงขัดต่อเหตุผลความเป็นจริง ฎีกาของจำเลยที่ 4 และที่ 5 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ฎีกาว่า คำขอท้ายฟ้องของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ในข้อ 1 ถึง 3 ซึ่งในข้อ 1 ว่าคำสั่งของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ที่อนุญาตให้จำเลยที่ 4 เข้าไปถ่ายทำภาพยนตร์บริเวณอ่าวมาหยา หมู่เกาะพีพี เป็นโมฆะ เพราะเป็นคำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมายในข้อ 2 โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ขอให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันหรือแทนกันวางเงินประกันความเสียหายไม่น้อยกว่า 100,000,000 บาท ถ้าจำเลยทั้งห้าไม่วางเงินประกันให้ศาลมีคำสั่งห้ามกระทำการใดๆ เพื่อกระทำการปรับปรุง ตกแต่งบริเวณอ่าวมาหยาและในข้อ 3 โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ขอให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 มีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตให้จำเลยที่ 4 และที่ 5 เข้าทำการถ่ายทำภาพยนตร์บริเวณชายหาดมาหยานั้นเป็นประโยชน์ที่ศาลต้องพิจารณาต่อไป การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาต่อไป ไม่ชอบนั้น เห็นควรวินิจฉัยข้อ 2 ก่อนว่ามีประโยชน์ที่จะพิจารณาต่อไปหรือไม่ เห็นว่า คำขอในข้อนี้เป็นคำขอห้ามมิให้ฝ่ายจำเลยกระทำการใดเพื่อกระทำการปรับปรุง ตกแต่งบริเวณอ่าวมาหยา หากไม่วางเงินประกันความเสียหายไม่น้อยกว่า 100,000,000 บาท แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยที่ 5 ได้กระทำการปรับปรุง ตกแต่งบริเวณอ่าวมาหยาไปแล้ว และได้ถ่ายภาพยนตร์เสร็จเรียบร้อยทั้งได้ออกไปจากบริเวณอ่าวมาหยาแล้วตั้งแต่ก่อนวันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา จึงไม่มีเหตุที่จะสั่งให้จำเลยทั้งห้าปฏิบัติตามคำขอข้อ 2 นี้ได้ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาคำขอข้อ 2 อีกต่อไปนั้น ชอบแล้ว
ส่วนคำขอให้วินิจฉัยคำสั่งในข้อ 1 และข้อ 3 นั้น เห็นว่า แม้คำสั่งทางปกครองที่เจ้าหน้าที่ออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย อาจถูกเพิกถอนได้แต่สำหรับคดีนี้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ฟ้องคดีอ้างว่าคำสั่งทางปกครองของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ที่อนุญาตให้จำเลยที่ 4 เข้าไปถ่ายภาพยนตร์บริเวณอ่าวมาหยาไม่ชอบด้วยกฎหมายเป็นโมฆะ ขอให้เพิกถอนก็เพื่อมิให้จำเลยที่ 4 และที่ 5 เข้าไปถ่ายทำภาพยนตร์ในบริเวณหาดมาหยา แต่เมื่อจำเลยที่ 5 เข้าไปถ่ายทำภาพยนตร์ตามใบอนุญาตเสร็จเรียบร้อยจนนำออกฉายทั่วโลกแล้ว การเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 จึงไม่บังเกิดผลในทางปฏิบัติแต่อย่างใด ดังนั้น คำขอข้อ 1 และข้อ 3 จึงไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาต่อไป ฎีกาของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 3 ถึงที่ 19 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share