แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่ชาวบ้านไปขว้างปาบ้านบิดาจำเลย เป็นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย จำเลยย่อมมีสิทธิกระทำการเพื่อป้องกันทรัพย์สินของบิดาจำเลยได้ แต่ภยันตรายที่เกิดจากการขว้างปาบ้านยังไม่ร้ายแรงถึงขนาดที่ต้องใช้อาวุธปืนยิงทำร้ายร่างกายผู้ที่ขว้างปา การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยเจตนาป้องกันทรัพย์สินที่เกินสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69 จำเลยมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วมจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสโดยป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ มิใช่เป็นความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส
บิดาจำเลยถูกชาวบ้านใช้ก้อนอิฐและท่อนไม้ขว้างปาบ้านเพื่อขับไล่โดยหลงเชื่อว่าบิดาจำเลยเป็นผีปอบมาเป็นเวลา 2 คืนแล้ว คืนเกิดเหตุเป็นคืนที่สามก็ถูกขว้างปาอีกตั้งแต่เวลา 23 นาฬิกา จนถึง 1 นาฬิกา จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงเพื่อขัดขวางห้ามปรามนับว่าจำเลยได้ใช้ความอดทนอดกลั้นจนถึงที่สุดแล้ว สมควรให้โอกาสจำเลยได้กลับตนเป็นพลเมืองดีโดยรอการลงโทษจำคุกให้จำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีอาวุธปืนยาวประจุปาก (ปืนแก๊ป) ชนิดประกอบขึ้นเอง ซึ่งเป็นของผู้อื่นและกระสุนปืนจำนวน 1 นัด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตแล้วจำเลยใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวยิงนายสมบัติ กล่อมจิตร ผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่า กระสุนปืนถูกผู้เสียหายที่ด้านหลังเข่าขวา จำเลยลงมือกระทำความผิดไปโดยตลอดแล้ว แต่การกระทำไม่บรรลุผลเนื่องจากกระสุนปืนที่จำเลยยิงไปไม่ถูกอวัยวะสำคัญของผู้เสียหายจึงไม่ถึงแก่ความตาย เพียงแต่ได้รับอันตรายสาหัสต้องทุพพลภาพป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนา และประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า 20 วัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 91, 288 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72
จำเลยให้การรับสารภาพเฉพาะข้อหามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ส่วนข้อหาพยายามฆ่าให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายสมบัติ กล่อมจิตร ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาต (ที่ถูกเฉพาะข้อหาพยายามฆ่า)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคสาม เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส จำคุก 1 ปี ปรับ 2,000 บาท ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองจำคุก 6 เดือน ปรับ 1,000 บาท สำหรับความผิดฐานมีอาวุธปืนฯ จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 เดือน ปรับ 500 บาท รวมจำคุก 1 ปี 3 เดือน และปรับ 2,500 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ข้อหาอื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8) ลงโทษจำคุก 3 ปี คำเบิกความของจำเลยให้ความรู้แก่ศาลเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำคุก 2 ปี รวมกับโทษอีกกระทงหนึ่งแล้วจำคุก 2 ปี 3 เดือน ไม่ลงโทษปรับและไม่รอการลงโทษจำคุกให้จำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่าจำเลยกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วมจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นเพียงความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัสเท่านั้น โจทก์และโจทก์ร่วมมีตัวโจทก์ร่วมเป็นประจักษ์พยานเบิกความว่า คืนเกิดเหตุเวลา 24 นาฬิกาเศษ โจทก์ร่วมออกจากวงสุราไปปัสสาวะที่ริมรั้วบ้านนายเสงี่ยม บุญสาร ซึ่งติดกับบ้านจำเลย เมื่อปัสสาวะเสร็จมีคนเรียกชื่อโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมหันไปดูปรากฏว่าเป็นจำเลย จำเลยยกอาวุธปืนยาวจ้องมาทางโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมวิ่งหนีได้ประมาณ 2 ก้าว ได้ยินเสียงปืนและรู้สึกเจ็บที่ขาพับด้านขวาแล้วล้มลงแต่พยายามลุกขึ้นวิ่งกลับไปที่บ้านนายโฮม บอกคนที่บ้านนายโฮมว่าถูกจำเลยยิง ต่อมาจึงมีผู้นำโจทก์ร่วมส่งโรงพยาบาล เห็นว่า ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน จุดที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงเป็นใต้ถุนบ้านบิดาจำเลยตามภาพถ่าย สถานที่เกิดเหตุหมาย จ.4 ภาพที่ 4 โจทก์ร่วมและจำเลยต่างรับกันว่าขณะเกิดเหตุไฟฟ้าที่ใต้ถุนบ้านบิดาจำเลยเปิดอยู่ แต่ไฟฟ้าสาธารณะหน้าบ้านไม่ได้เปิดเนื่องจากหลอดไฟแตก ฉะนั้นบริเวณรอบบ้านบิดาจำเลยจึงมืด จำเลยซึ่งอยู่ในที่สว่างมีแสงไฟฟ้ามองออกไปนอกบ้านจึงย่อมมองไม่เห็นเหตุการณ์ชัดเจนโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณสวนกล้วยที่รกชัฏอยู่ติดกับตัวบ้านจำเลยจึงไม่อาจมองเห็นโจทก์ร่วมซึ่งอยู่ในที่มืดในสวนกล้วยได้ชัดเจนพอที่จะรู้ว่าเป็นโจทก์ร่วมได้ แต่โจทก์ร่วมสามารถมองเห็นจำเลยซึ่งอยู่ในที่สว่างได้ชัดเจน ไม่น่าเชื่อว่าจำเลยจะเรียกชื่อโจทก์ร่วมก่อน แล้วจึงใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมดังที่โจทก์ร่วมเบิกความนายชาลี เกษศรี พยานโจทก์และโจทก์ร่วมอีกปากหนึ่งซึ่งเป็นบิดาจำเลยเบิกความว่า เวลาประมาณ 1 นาฬิกา พยานได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด และพบจำเลยอยู่ใต้ถุนบ้าน จำเลยถืออาวุธปืนแก๊ปยาวอยู่ในมือจำเลยบอกพยานว่า “พ่อผมยิงปืนไปถูกใครไม่รู้” พยานและจำเลยจึงไปแจ้งเจ้าพนักงานตำรวจที่ป้อมยามบ้านบกว่าจำเลยยิงปืนไปถูกใครไม่รู้โดยยิงปืนเพื่อป้องกัน นายชาลีเป็นบิดาจำเลยเบิกความสอดคล้องกับพลตำรวจวีรชน พักสูงเนิน พยานโจทก์และโจทก์ร่วมซึ่งขณะเกิดเหตุเป็นเจ้าพนักงานตำรวจประจำป้อมยามบ้านบกที่เบิกความยืนยันว่าจำเลยไปแจ้งต่อพยานว่าได้ยิงปืนไปไม่ทราบว่าจะถูกคนหรือไม่ แม้พลตำรวจวีรชนเบิกความว่าจำเลยแจ้งว่ายิงปืนไปที่พื้น แต่ตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาเอกสารหมาย จ.7 ก็ดี หรือตามคำเบิกความของจำเลยในชั้นพิจารณาก็ดี จำเลยมิได้อ้างว่าจำเลยยิงปืนไปที่พื้นแต่อย่างใด จึงน่าเชื่อว่าจำเลยมีเจตนาใช้อาวุธปืนยิงชาวบ้านที่ไปขว้างปาบ้านบิดาจำเลยเพื่อขัดขวางห้ามปรามการกระทำดังกล่าว และจำเลยเข้าใจว่าโจทก์ร่วมเป็นชาวบ้านที่ไปขว้างปาบ้านบิดาจำเลย เมื่อกระสุนปืนถูกโจทก์ร่วม ไม่ว่าโจทก์ร่วมจะร่วมกับชาวบ้านไปขว้างปาบ้านบิดาจำเลยหรือไม่ก็ตาม ก็ต้องถือว่าเป็นการกระทำโดยเจตนาต่อโจทก์ร่วมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 วรรคสอง หาใช่เป็นการกระทำโดยประมาทไม่ การที่ชาวบ้านไปขว้างปาบ้านบิดาจำเลยเป็นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย จำเลยย่อมมีสิทธิกระทำการเพื่อป้องกันทรัพย์สินของบิดาจำเลยได้ แต่ภยันตรายที่เกิดจากการขว้างปาบ้านยังไม่ร้ายแรงถึงขนาดที่ต้องใช้อาวุธปืนยิงทำร้ายร่างกายผู้ที่ขว้างปา การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยเจตนาป้องกันทรัพย์สินที่เกินสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69 จำเลยจึงมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วม จนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสโดยป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ มิใช่เป็นความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสดังที่จำเลยฎีกา
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อไปมีว่า สมควรรอการลงโทษจำคุกให้จำเลยหรือไม่ เห็นว่า บิดาจำเลยถูกชาวบ้านใช้ก้อนอิฐและท่อนไม้ขว้างปาบ้านเพื่อขับไล่โดยหลงเชื่อว่าบิดาจำเลยเป็นผีปอบมาเป็นเวลา 2 คืนแล้ว คืนเกิดเหตุเป็นคืนที่สามก็ถูกขว้างปาอีกตั้งแต่เวลา 23 นาฬิกา จนถึงเวลา 1นาฬิกา จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงเพื่อขัดขวางห้ามปราม นับว่าจำเลยได้ใช้ความอดทนอดกลั้นจนถึงที่สุดแล้ว และไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อน สมควรให้โอกาสจำเลยได้กลับตนเป็นพลเมืองดีโดยการรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8)ประกอบด้วยมาตรา 68, 69 ให้จำคุก 1 ปี และปรับ 2,000 บาท และฐานมีอาวุธปืนฯให้ปรับ 500 บาท อีกสถานหนึ่ง รวมโทษทุกกระทงแล้ว จำคุก 1 ปี 3 เดือน และปรับ 2,500 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1