คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5813/2553

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยมีเจตนาพรากผู้เสียหายที่ 1 ไปเพื่อการอนาจารถือได้ว่าความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารสำเร็จตั้งแต่จำเลยพรากผู้เสียหายที่ 1 ไป โดยมีเจตนาพรากไปเพื่อการอนาจารโดยไม่คำนึงว่าจะต้องมีการกระทำอนาจารตามเจตนาหรือไม่ ส่วนการที่จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 หลังจากนั้นเป็นความผิดอีกกรรมหนึ่งซึ่งมีเจตนากระทำชำเราเพื่อสำเร็จความใคร่ของตนเท่านั้น เจตนาจึงต่างกัน ต่างกรรมต่างวาระกับความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 276, 318 วรรคสาม
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรก, 318 วรรคสาม เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานข่มขืนกระทำชำเราหญิงอื่นซึ่งมิใช่ภริยาของตน จำคุก 5 ปี ฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดาโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย เพื่อการอนาจาร จำคุก 4 ปี รวมจำคุก 9 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์มีหน้าที่นำสืบพิสูจน์ว่ามีการสอบสวนโดยชอบ และอุทธรณ์ของจำเลยที่ว่าการสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากไม่มีการร้องทุกข์ในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา ส่วนความผิดฐานพรากผู้เยาว์ พนักงานสอบสวนไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยคำร้องทุกข์หรือคำกล่าวโทษจึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เป็นข้อที่ได้รับการยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น เห็นว่าคดีนี้พนักงานอัยการโจทก์บรรยายฟ้องว่า พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนแล้ว ย่อมสันนิษฐานได้ว่าการสอบสวนตามที่ได้บรรยายฟ้องนั้นเป็นการสอบสวนโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อจำเลยมิได้ให้การโต้แย้งว่าการร้องทุกข์และการสอบสวนไม่ชอบ โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบแต่เพียงให้พอฟังได้ว่ามีการร้องทุกข์และการสอบสวนตามข้อสันนิษฐานและที่โจทก์บรรยายฟ้องมาเท่านั้น หาต้องนำสืบพิสูจน์ในรายละเอียดปลีกย่อยถึงขนาดต้องให้ได้ความแน่ชัดปราศจากข้อสงสัยว่ามีการร้องทุกข์และสอบสวนโดยชอบแล้วไม่เมื่อในการสืบพยานหลักฐานโจทก์นั้น โจทก์มีผู้เสียหายที่ 1 เป็นพยานเบิกความว่าผู้เสียหายที่ 2 พาผู้เสียหายที่ 1 ไปร้องทุกข์ มีผู้เสียหายที่ 2 เป็นพยานเบิกความว่าผู้เสียหายที่ 2 ไปร้องทุกข์พร้อมกับผู้เสียหายที่ 1 และมีพันตำรวจโทจำเนียร เป็นพยานเบิกความว่า ผู้เสียหายที่ 2 มาแจ้งว่าผู้เสียหายที่ 1 ถูกจำเลยข่มขืนกระทำชำเราที่โรงแรมปาล์มอินน์ แล้วขอแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีกับจำเลย โดยในวันที่แจ้งนั้นพาผู้เสียหายที่ 1 มาด้วย ได้สอบปากคำผู้เสียหายที่ 2 ในฐานะผู้กล่าวหาในส่วนของผู้เสียหายที่ 1 เนื่องจากเป็นผู้เยาว์ได้มีการสอบสวนโดยเจ้าพนักงานตามกฎหมายอื่นร่วมกันสอบสวนตามกฎหมายด้วยโจทก์จึงได้นำสืบแล้วว่ามีการร้องทุกข์และสอบสวนแล้ว เมื่อพยานหลักฐานโจทก์ในชั้นพิจารณาไม่ปรากฏชัดว่าการร้องทุกข์หรือการสอบสวนไม่ชอบ ทั้งจำเลยก็มิได้นำสืบให้เห็นว่าการร้องทุกข์หรือการสอบสวนไม่ชอบ พยานหลักฐานตามที่โจทก์นำสืบมาดังกล่าวนั้นย่อมเพียงพอที่จะฟังได้ว่ามีการร้องทุกข์และการสอบสวนโดยชอบตามข้อสันนิษฐานและที่บรรยายมาในฟ้องแล้วซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่อาจรับฟังข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นให้ผิดไปจากพยานหลักฐานในสำนวนได้ ดังนั้น แม้ว่าปัญหาว่าจะมีการนำสืบว่ามีการร้องทุกข์และสอบสวน อันถือได้ว่าข้อเท็จจริงที่ว่ามีการร้องทุกข์และการสอบสวนโดยชอบหรือไม่นั้น เป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น และแม้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 จะได้วินิจฉัยว่าปัญหาดังกล่าวเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและไม่ได้รับวินิจฉัยนั้น จะไม่ชอบด้วยเหตุผลและข้อกฎหมายที่ยกขึ้นปรับแก่คดีก็ตาม อย่างไรก็ดีแม้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 จะรับปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวไว้พิจารณา ก็ต้องรับฟังข้อเท็จจริงว่ามีการร้องทุกข์และสอบสวนโดยชอบแล้วและโจทก์มีอำนาจฟ้องอยู่นั่นเอง ผลของคดีย่อมไม่ต่างกัน ศาลฎีกาจึงเห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ดังกล่าวในผล
ที่จำเลยฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทนั้นข้อเท็จจริงเป็นอันยุติตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนฟังได้ว่าในวันเกิดเหตุจำเลยพาผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งมีอายุ 16 ปีเศษ นั่งรถอ้างว่าจะพาไปซื้อโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่อไว้ใช้งานที่ห้างสรรพสินค้าฟิวเจอร์ปาร์ครังสิตแต่จำเลยกลับพาผู้เสียหายที่ 1 ไปที่โรงแรมปาล์มอินที่เกิดเหตุแล้วจำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 จนสำเร็จความใคร่ เห็นว่า การที่จำเลยมีเจตนาพรากผู้เสียหายที่ 1 ไปเพื่อการอนาจารถือได้ว่าความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารสำเร็จตั้งแต่จำเลยพรากผู้เสียหายที่ 1 ไป โดยมีเจตนาพรากไปเพื่อการอนาจารโดยไม่คำนึงว่าจะต้องมีการกระทำอนาจารตามเจตนาหรือไม่ ส่วนการที่จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 หลังจากนั้นเป็นความผิดอีกกรรมหนึ่ง ซึ่งมีเจตนากระทำชำเราเพื่อสำเร็จความใคร่ของตนเท่านั้น เจตนาจึงต่างกัน ต่างกรรมต่างวาระกับความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร การกระทำของจำเลยจึงเป็นหลายกรรมต่างกัน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล”
พิพากษายืน

Share