คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 581/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นธนาคาร ละเลยไม่เรียกเก็บเงินตามเช็คให้โจทก์ซึ่งเป็นลูกค้า ทั้ง ๆ ที่เงินในบัญชีของผู้สั่งจ่ายเช็คนั้นมีพอที่จะหักเข้าบัญชีให้โจทก์ได้ก่อน และบัญชีของผู้สั่งจ่ายก็อยู่ในธนาคารจำเลยเอง เป็นเหตุให้เงินในบัญชีของผู้สั่งจ่ายกลับไม่พอชำระหนี้ตามเช็คให้โจทก์ เพราะได้มีการถอนเงินรายอื่นหลายรายการจากบัญชีของผู้สั่งจ่ายในวันนั้น และจำเลยก็มิได้แจ้งเหตุขัดข้องและคืนเช็คให้โจทก์ จำเลยจึงต้องรับผิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นธนาคาร จำเลยที่ ๒ เป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๑ทำหน้าที่สมุห์บัญชีธนาคารจำเลยที่ ๑ สาขาพิษณุโลก โจทก์เป็นลูกค้าของจำเลยที่ ๑ ได้เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันที่ธนาคารจำเลยที่ ๑ สาขาพิษณุโลก เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๒๐ โจทก์นำเช็คธนาคารจำเลยที่ ๑ สาขาพิษณุโลก เลขที่ ๐๑๑๓๙๙/๒๓๓๓ ลงวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๐ จำนวนเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งนายวิรัช จิรัฐติกาลโชติ สั่งจ่ายชำระหนี้ให้โจทก์ ไปฝากเข้าบัญชีของโจทก์เพื่อเรียกเก็บเงิน จำเลยที่ ๒ เป็นผู้รับเช็คดังกล่าวไว้ โจทก์เข้าใจว่าธนาคารจำเลยที่ ๑ ได้เรียกเก็บเงินให้โจทก์เรียบร้อยแล้ว ต่อมาเมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๒๑ โจทก์ได้ตรวจสอบบัญชีของโจทก์ พบว่าจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ หาได้เรียกเก็บเงินตามเช็คให้โจทก์ไม่ ทั้งไม่ได้แจ้งเหตุขัดข้องและไม่คืนเช็คให้โจทก์ เมื่อโจทก์สอบถามก็ถูกปฏิเสธ ทำให้โจทก์เสียสิทธิเรียกร้องให้นายวิรัชชำระหนี้ตามเช็คเป็นการละเมิดต่อโจทก์ จำเลยทั้งสองต้องร่วมกันรับผิด ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ให้การว่า เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๒๐ โจทก์นำเช็คของธนาคารจำเลยที่ ๑ สาขาพิษณุโลกดังกล่าวมาเข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์จริง เมื่อเช็คถึงกำหนด ปรากฏว่าเงินในบัญชีกระแสรายวันของนายวิรัชผู้สั่งจ่ายไม่พอจ่าย จำเลยที่ ๑ จึงปฏิเสธการจ่ายเงินและคืนเช็คพร้อมกับใบคืนเช็คให้โจทก์รับไปแล้วตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๐ โจทก์ชอบที่จะฟ้องเรียกเงินจากนายวิรัชผู้สั่งจ่ายโจทก์ใช้สิทธิไม่สุจริต โจทก์รู้เรื่องธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตั้งแต่วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๒๐ แต่เพิ่งมาฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๒๒ เกินกว่า ๑ ปีแล้ว คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๐ มีการนำเงินเข้าบัญชีของนายวิรัช ๔ รายการ ตามลำดับดังนี้ คือ ๑๓,๐๐๐ บาท ๑๘,๙๔๔ บาท ๗๓๘,๐๐๐ บาท และ ๘,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๗๗๗,๙๔๔ บาท ต่อจากรายการนำเงินเข้าทั้ง ๔ รายการนี้แล้วก็ปรากฏว่ามีรายการถอนเงินออกจากบัญชีในวันเดียวกันอีก ๖ รายการ รายการสุดท้ายจำนวน ๑๔๒,๐๐๐ บาท และปรากฏในช่องเงินคงเหลือในรายการสุดท้ายว่านายวิรัชเป็นลูกหนี้ธนาคาร ๒,๐๐๐,๐๖๘.๖๐ บาท แสดงว่าในวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๐ เงินในบัญชีของนายวิรัชมีถึง ๗๗๗,๙๔๔ บาท ซึ่งเป็นการเพียงพอที่จำเลยจะหักจ่ายเข้าบัญชีของโจทก์ได้ เพราะนายวิรัชมีสิทธิเบิกเงินเกินบัญชีถึง ๒ ล้านบาท ทั้งโจทก์ได้นำเช็คฉบับพิพาทเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บตั้งแต่วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๒๐ จำเลยจะไปถือยอดเงินคงเหลือในรายการสุดท้ายของวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๐ มาเป็นข้ออ้างว่าเงินในบัญชีของนายวิรัชไม่พอจ่ายหาได้ไม่ ทั้งจำเลยจะอ้างว่าได้ทำการตรวจสอบบัญชีของนายวิรัชก่อนจะมีการนำเงิน ๔ รายการเข้าบัญชีก็ไม่ได้เพราะยังไม่พ้นวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๐ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยมิได้เรียกเก็บเงินตามเช็คฉบับพิพาทจากบัญชีของนายวิรัชทั้ง ๆ ที่บัญชีของนายวิรัชมีเงินพอที่จะเรียกเก็บได้
สำหรับปัญหาที่ว่า จำเลยแจ้งเหตุขัดข้องและคืนเช็คฉบับพิพาทให้โจทก์หรือไม่นั้น เห็นว่าข้ออ้างของจำเลยที่ ๒ ที่ว่าได้คืนเช็คให้โจทก์ไปโดยมิได้ทำหลักฐานไว้เพราะความคุ้นเคยกันนั้นฟังไม่ขึ้น เพราะปรากฏมีใบคืนเช็คของจำเลยรวม ๕ ฉบับที่โจทก์อ้างว่าในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๓๓๐/๒๕๒๐ ของศาลจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งจำเลยแจ้งไปยังโจทก์ในกรณีเรียกเก็บเงินไม่ได้เป็นหลักฐานแสดงอยู่ นอกจากนั้นเมื่อคำนึงถึงข้อเท็จจริงที่ฟังว่าจำเลยมิได้เรียกเก็บเงินตามเช็คจากบัญชีของนายวิรัชทั้ง ๆ ที่มีเงินพอจะเรียกเก็บได้ประกอบเข้าด้วยแล้ว น่าเชื่อว่าข้ออ้างของจำเลยเป็นเรื่องแก้ตัวมากกว่าอื่น
ส่วนปัญหาเรื่องอายุความ ซึ่งศาลล่างมิได้วินิจฉัยนั้น ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยไปเลยทีเดียวดังนี้คือ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยมิได้เรียกเก็บเงินตามเช็คฉบับพิพาท มิได้คืนเช็คและมิได้แจ้งเหตุขัดข้องแก่โจทก์แล้ว ข้อเท็จจริงย่อมฟังได้ต่อไปดังที่โจทก์นำสืบว่าโจทก์ก็เข้าใจว่าจำเลยเรียกเก็บเงินตามเช็คฉบับพิพาทได้ จนกระทั่งเมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๒๑ โจทก์จ่ายเช็คให้แก่ลูกค้า ๑๐๐,๐๐๐ บาทแต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์จึงได้ตรวจสอบใบรับฝากทั้งหมดและบัญชีกระแสรายวัน จึงพบข้อผิดพลาดเรื่องที่จำเลยมิได้เรียกเก็บเงินตามเช็คฉบับพิพาทจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท จากบัญชีของนายวิรัชจึงต้องถือว่าโจทก์ทราบเรื่องที่จำเลยมิได้เรียกเก็บเงินตามเช็คฉบับพิพาทเมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๒๑ ฉะนั้นที่โจทก์นำคดีนี้มาฟ้องเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๒๒ จึงไม่เกิน ๑ ปี คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินแก่โจทก์ ๑๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๐ จนถึงวันฟ้อง ซึ่งโจทก์ขอคิดเพียง ๑๗ เดือนเป็นเงิน ๑๐,๖๒๕ บาทและให้ใช้ดอกเบี้ยในอัตราเดียวกันนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะใช้เงินให้โจทก์เสร็จ

Share