แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
เรือนปลูกในที่ดินเป็นส่วนควบของที่ดิน ถ้าจะแยกกรรมสิทธิ์ในเรือนต้องจดทะเบียนก่อตั้งสิทธิเหนือพื้นดินตามมาตรา 1410 จะร้องขัดทรัพย์อ้างว่าเพื่อรื้อไปไม่ได้
ย่อยาว
ที่ดินของจำเลยซึ่งแพ้คดีโจทก์มีเรือน 3 หลังปลูกอยู่ โจทก์ยึดเรือน3 หลังนี้บังคับคดี ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกคำร้องขัดทรัพย์ ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “เรือนดังกล่าวอยู่ภายในบริเวณรั้วเดียวกับเรือนเลขที่ 964 ในฎีกาของผู้ร้องที่ 2 นั้น เลขบ้าน 964 ติดไว้ตรงประตูรั้วฟังได้ว่าเรือนหลังนี้ปลูกอยู่บนที่ดินโฉนดที่ 5752 ของจำเลยเช่นเดียวกับเรือนอีก 2 หลังที่โจทก์นำยึดไว้
ที่ผู้ร้องทั้งสองฎีกาว่า ร้องขัดทรัพย์เพื่อจะรื้อเรือนทั้ง 3 หลังไปอย่างเป็นสังหาริมทรัพย์ แต่ที่ผู้ร้องมีคำขอให้สั่งปล่อยเรือนจากการที่โจทก์นำยึดอ้างกรรมสิทธิ์เฉพาะตัวเรือนว่าเป็นของผู้ร้องนั้น ยังเป็นกรณีพิพาทกับโจทก์ ซึ่งให้การโต้เถียงว่าเรือน 3 หลังเป็นส่วนควบกับที่ดินของจำเลยจึงเป็นทรัพย์ของจำเลย ผู้ร้องจะขอให้สั่งปล่อยเรือนนั้นไม่ได้ การที่ผู้ร้องจะรื้อเรือน 3 หลังซึ่งโจทก์นำยึดไปได้ก็ต่อเมื่อคดีฟังได้ว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของเรือน ตราบใดที่เรือนทั้งสามหลังยังปลูกอยู่บนที่ดินของจำเลยเรือนย่อมเป็นส่วนควบกับที่ดิน การที่ผู้ร้องทั้งสองจะก่อตั้งกรรมสิทธิ์ในเรือนแยกออกต่างหากจากที่ดิน จะทำได้ก็โดยการก่อตั้งสิทธิเหนือพื้นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1410 ดังที่จำเลยยกเป็นข้อต่อสู้ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 688/2511 คดีระหว่างนายสมพงษ์ แจ่มมั่งคั่ง โจทก์ นางจรูญศรี วิชยานนท์ จำเลย ผู้ร้องทั้งสองยังไม่เคยขอให้จำเลยจดทะเบียนสิทธิเหนือพื้นดินให้สมบูรณ์ถูกต้องตามกฎหมาย จึงไม่มีผลทำให้เรือนทั้ง 3 หลังนั้นมิใช่เป็นส่วนควบของที่ดินจำเลยต่อไป ผู้ร้องทั้งสองไม่ได้กรรมสิทธิ์เรือนทั้งสามหลังแยกต่างหากจากที่ดิน ต้องถือว่าเป็นทรัพย์ของจำเลย โจทก์นำยึดได้”
พิพากษายืน