คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5801/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของโฉนดที่ดิน ซึ่งมี ส. เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ และเจ้าพนักงานที่ดินได้ออก โฉนดที่ดินให้ ส. เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2524 และเมื่อ ส. ขอออกโฉนดที่ดิน จำเลยไม่ได้โต้แย้งคัดค้าน เจ้าพนักงานที่ดินได้ออกโฉนดที่ดินดังกล่าวให้แก่ ส. ที่ดินตามโฉนดที่ดินดังกล่าว ซึ่งรวมทั้งที่ดินพิพาทด้วยย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของ ส. ตามกฎหมาย จำเลยจะอ้างว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทขึ้นต่อสู้ ส. ผู้มีกรรมสิทธิ์ไม่ได้ แม้จำเลยจะมีเจตนาครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทก็ต้องเริ่มนับระยะเวลาการครอบครองปรปักษ์ตั้งแต่วันที่ออกโฉนดที่ดิน เป็นต้นไป ต่อมามีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทที่ดินดังกล่าวมาเป็นของโจทก์เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2533 เนื่องจากโจทก์ประมูลซื้อที่ดินดังกล่าวได้จากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล เมื่อจำเลยมิได้ให้การหรือนำสืบว่าโจทก์มิใช่บุคคลภายนอกและกระทำการไม่สุจริตแล้ว โจทก์ย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตาม ป.พ.พ. มาตรา 6 ว่ากระทำการโดยสุจริต สิทธิการครอบครองปรปักษ์ของจำเลยจึงไม่อาจใช้ยันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วตามมาตรา 1299 วรรคสอง การครอบครองปรปักษ์ที่มีอยู่ก่อนนั้นจึงสิ้นไป แม้หลังจากที่โจทก์รับจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน ตามโฉนดที่ดินดังกล่าวมาเป็นของโจทก์แล้ว จำเลยจะครอบครองที่ดินพิพาทต่อมาก็ต้องเริ่มนับระยะเวลาการครอบครองที่ดินพิพาทใหม่ตั้งแต่ปี 2533 เมื่อนับถึงวันที่โจทก์ฟ้องคดียังไม่ถึง 10 ปี จำเลยจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท โดยการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสองให้จำเลยถอนคำคัดค้านการรังวัดสอบเขตที่ดินดังกล่าวของโจทก์ทั้งสองต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครศรีธรรมราช หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินดังกล่าว ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องอีกต่อไป และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมค่าเสียหายอีกเดือนละ ๕๐,๐๐๐ บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะถอนคำคัดค้านการรังวัดสอบเขตที่ดิน
จำเลยให้การว่า จำเลยครอบครองโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ เจ้าของเดิมไม่เคยโต้แย้ง ที่ดินพิพาทจึงตกเป็นของจำเลย โจทก์ทั้งสองไม่เคยคัดค้านสิทธิของจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้โจทก์ชนะคดี
จำเลยอุทธรณ์ โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลอุทธรณ์ภาค ๘ พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า… พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ นั้น ปรากฏตามสำเนาโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๒๒๙๗ เอกสารหมาย จ.๒ ซึ่งที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของโฉนดที่ดินดังกล่าวว่ามีนายสัญญา เลาหกุล เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ และเจ้าพนักงาน ที่ดินได้ออกโฉนดที่ดินให้นายสัญญาเมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๔ ดังนั้น แม้จะฟังว่าจำเลยได้เข้าครอบครอง และได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท แต่เมื่อนายสัญญาขอออกโฉนดที่ดินนั้นปรากฏตามใบไต่สวนเอกสารหมาย จ.๕ ว่าจำเลยไม่ได้โต้แย้งคัดค้านและไม่มีหลักฐานอื่นใดว่าจำเลยได้โต้แย้งคัดค้าน เจ้าพนักงานที่ดินได้ออกโฉนดที่ดิน ดังกล่าวให้แก่นายสัญญา ที่ดินตามโฉนดที่ดินดังกล่าว ซึ่งรวมทั้งที่ดินพิพาทด้วยย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายสัญญาตามกฎหมาย จำเลยจะอ้างว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทขึ้นต่อสู้นายสัญญาผู้มีกรรมสิทธิ์ไม่ได้ หลังจากนั้นแม้จำเลยจะมีเจตนาครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทก็ตาม แต่ก็ต้องเริ่มนับระยะเวลาการครอบครองปรปักษ์ตั้งแต่วันที่ ออกโฉนดที่ดินดังกล่าวคือวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๔ เป็นต้นไป และปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีการจดทะเบียน โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดที่ดินดังกล่าวมาเป็นของโจทก์ทั้งสองเมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๓๓ ตามสำเนาโฉนดที่ดินดังกล่าวเอกสารหมาย จ.๒ เนื่องมาจากโจทก์ที่ ๒ ประมูลซื้อที่ดินดังกล่าวในราคา ๖,๑๒๐,๐๐๐ บาท จากการขาย ทอดตลาดตามคำสั่งศาลในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๖๗๑/๒๕๒๙ ของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๓๐ ตามรายงานเจ้าหน้าที่และหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินเอกสารหมาย จ.๗ แผ่นที่ ๑๖ และ ๑๗ ซึ่งยังไม่ถึง ๑๐ ปี เมื่อจำเลยมิได้ให้การหรือนำสืบว่าโจทก์ทั้งสองมิใช่บุคคลภายนอกและกระทำการไม่สุจริตแล้ว โจทก์ทั้งสองย่อมได้รับประโยชน์ จากข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖ ว่ากระทำการโดยสุจริต สิทธิการครอบครอง ปรปักษ์ของจำเลยจึงไม่อาจใช้ยันโจทก์ทั้งสองซึ่งบุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้ จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง การครอบครองปรปักษ์ที่มีอยู่ก่อนนั้นจึงสิ้นไป แม้หลังจากที่โจทก์ทั้งสองรับจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดที่ดินดังกล่าวมาเป็นของโจทก์ทั้งสองแล้ว จำเลยจะครอบครองที่ดินพิพาทต่อมาก็ต้องเริ่มนับระยะเวลาการครอบครองที่ดินพิพาทใหม่ ตั้งแต่ปี ๒๕๓๓ จนถึงวันที่โจทก์ทั้งสองฟ้องคดีนี้วันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๓๙ ก็ยังไม่ถึง ๑๐ ปี จำเลยจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share