คำสั่งคำร้องที่ 1169/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้มีทุนทรัพย์ ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของจำเลยเป็นการฎีกาโต้แย้งดุลพินิจ ในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 2 จึงเป็นการฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว จึงไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่าโจทก์ไม่มีหลักฐานการซื้อขายมาแสดงต่อศาลและไม่มีหลักฐานการส่งมอบทรัพย์ที่ซื้อขายจึงไม่สามารถบังคับชำระหนี้กับจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 ได้ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 151,900 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2534 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยจนถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 13,291 บาท(ฟ้องวันที่ 26 พฤษภาคม 2534) ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 98) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ โดยจำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ไม่รับฎีกาเกินกำหนด 15 วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234(อันดับ 101)

คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าคดีนี้จำเลยยื่นฎีกาวันที่ 21 มีนาคม 2538 โดยท้ายฎีกามีข้อความว่ารอฟังคำสั่งอยู่ ถ้าไม่รอให้ถือว่าทราบแล้วและศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา ของจำเลยวันเดียวกับที่จำเลยฎีกา ถือว่าจำเลยทราบคำสั่ง ของศาลชั้นต้นวันที่ 21 มีนาคม 2538 จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์ คำสั่งเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2538 เกินกำหนด 15 วัน และจำเลย มิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ประกอบมาตรา 247 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ

Share