แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์เป็นองค์การของรัฐบาลมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรตามที่บัญญัติไว้ในพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การตลาดเพื่อเกษตรกรฯ มาตรา 6(1) ถึง (8) แม้ตาม (8) จะระบุว่าเพื่อจัดหาปัจจัยในการผลิตและเครื่องอุปโภคและบริโภคอันจำเป็นจำหน่ายให้แก่เกษตรกร แต่ก็กำหนดไว้ว่าต้องเป็นราคาอันสมควร จึงมิใช่เป็นการประกอบการค้าซึ่งมุ่งแสวงหากำไรเป็นปกติธุระ ส่วนที่ตามสัญญาซื้อขายปุ๋ยกำหนดราคาปุ๋ยสูงขึ้นในกรณีที่จำเลยชำระราคาล่าช้านั้น หาได้แสดงว่าโจทก์มีวัตถุประสงค์แสวงหากำไรแต่ประการใดไม่โจทก์จึงมิใช่ผู้ประกอบการค้าตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34(1) จึงต้องใช้อายุความ 10 ปี ตามมาตรา 193/30
จำเลยชำระราคาปุ๋ยหลายครั้ง มีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลงต้องเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่เวลาชำระราคาปุ๋ยครั้งสุดท้ายตามมาตรา 193/15 วรรคสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยร่วมกันชำระเงินจำนวน 137,990.22บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12 ต่อปี ของต้นเงิน 62,915.22 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ที่ 6 ถึงที่ 10 ที่ 13 ที่ 20 และที่ 21 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 5 ที่ 11 ที่ 12 และที่ 14 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 15 ถึงที่ 17 และที่ 19 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 18 ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 17 และที่ 19ถึงที่ 21 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 62,915.22 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวเป็นเวลา 5 ปี นับถึงวันฟ้อง และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 62,915.22 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 15 ถึงที่ 17 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยที่ 1 ทำสัญญาซื้อขายปุ๋ยจากโจทก์จำนวน30,000 กิโลกรัม ราคา 120,000 บาท มีจำเลยที่ 2 ถึงที่ 17 และที่ 19ถึงที่ 21 เป็นผู้ค้ำประกันตามสัญญาซื้อขายปุ๋ยและสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.5 และ จ.7 ตามลำดับ จำเลยที่ 1 ชำระราคาแล้วบางส่วนครั้งสุดท้ายชำระเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2534 จำนวน 1,520 บาท คงค้างชำระจำนวน 62,915.22 บาท ที่จำเลยที่ 15 ถึงที่ 17 ฎีกาว่า จำเลยที่ 15ถึงที่ 17 มิได้ลงลายมือชื่อเป็นผู้ค้ำประกันในสัญญาค้ำประกันเอกสารหมายจ.7 ลายมือชื่อดังกล่าวเป็นลายมือชื่อปลอมนั้น เห็นว่า ฎีกาดังกล่าวเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้มีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 15 ถึงที่ 17 เพียงว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่เห็นว่า โจทก์เป็นองค์การของรัฐบาลมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรตามที่บัญญัติไว้ในพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การตลาดเพื่อเกษตรกรพ.ศ. 2517 มาตรา 6(1) ถึง (8) แม้ตาม (8) จะระบุว่าเพื่อจัดหาปัจจัยในการผลิตและเครื่องอุปโภคและบริโภคอันจำเป็นจำหน่ายให้แก่เกษตรกรแต่ก็กำหนดไว้ว่าต้องเป็นราคาอันสมควร จึงมิใช่เป็นการประกอบการค้าซึ่งมุ่งแสวงหากำไรเป็นปกติธุระ ส่วนที่ตามสัญญาซื้อขายปุ๋ยเอกสารหมายจ.5 กำหนดราคาปุ๋ยสูงขึ้น ในกรณีที่จำเลยที่ 1 ชำระราคาล่าช้านั้นหาได้แสดงว่าโจทก์มีวัตถุประสงค์แสวงหากำไรแต่ประการใดไม่ โจทก์จึงมิใช่ผู้ประกอบการค้าตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/34(1) สิทธิเรียกร้องของโจทก์มิได้มีอายุความ 2 ปีตามบทบัญญัติดังกล่าว ต้องใช้อายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/30 จำเลยที่ 1 ชำระราคาปุ๋ยหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 6พฤศจิกายน 2534 มีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลง ต้องเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่เวลาดังกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/15วรรคสอง โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2541 ยังไม่พ้น 10 ปีฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้นชอบแล้วฎีกาของจำเลยที่ 15 ถึงที่ 17 ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 17 และที่ 19 ถึงที่ 21 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 62,915.22 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวเป็นเวลา 5 ปี นับถึงวันฟ้องและดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12 ต่อปีของต้นเงินจำนวน 62,915.22 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยที่ 15 ถึงที่ 17 ฎีกาขอให้ยกฟ้องดังนั้น คดีจึงมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาเท่ากับจำนวนทุนทรัพย์ที่จำเลยที่ 15 ถึงที่ 17 ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 คือ ต้นเงินจำนวน62,915.22 บาท และดอกเบี้ยของต้นเงินดังกล่าวเป็นเวลา 5 ปี นับถึงวันฟ้องเท่านั้น แต่จำเลยที่ 15 ถึงที่ 17 เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาจำนวน 3,450 บาทโดยรวมทุนทรัพย์ต้นเงินและดอกเบี้ยนับแต่วันผิดนัดจนถึงวันฟ้องเป็นเงินดอกเบี้ยซึ่งเกินกว่า 5 ปี จึงเป็นการเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาเกินมา ศาลฎีกาเห็นสมควรคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่ชำระเกินมาแก่จำเลยที่ 15 ถึงที่ 17”
พิพากษายืน