แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ป.พ.พ. มาตรา 1349 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ที่ดินแปลงใดมีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าของที่ดินแปลงนั้นจะผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้” ทางสาธารณะมิได้จำกัดเฉพาะทางบกเท่านั้นทางน้ำเช่นแม่น้ำนครชัยศรี ซึ่งเป็นที่ดินของรัฐก็เป็นทางสาธารณะ แม้การสัญจรทางแม่น้ำนครชัยศรีจะไม่สะดวกไม่สอดคล้องกับความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองเท่าการสัญจรทางบกดังที่โจทก์ทั้งสองอ้าง ก็หาทำให้แม่น้ำนครชัยศรีสิ้นสภาพการเป็นทางสาธารณะไปไม่ ทั้งที่ดินของโจทก์ทั้งสองตลอดแนวด้านทิศตะวันออกติดแม่น้ำนครชัยศรี โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าการเข้าออกจากที่ดินของโจทก์ทั้งสองสู่แม่น้ำนครชัยศรี ต้องข้ามสระ บึง หรือมีที่ชันอันมีระดับที่ดินกับแม่น้ำนครชัยศรีซึ่งเป็นทางสาธารณะสูงกว่ากันมาก อันจะถือเป็นเหตุอนุโลมเสมือนว่าที่ดินของโจทก์ทั้งสองไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349 วรรคสอง
ย่อยาว
คดีนี้เดิมศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 995/2545 คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 996/2545 คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 998/2545 และคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 999/2545 ของศาลชั้นต้น แต่คดีทั้งสี่สำนวนดังกล่าวยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นคงขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะคดีนี้
โจทก์ทั้งสองฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยทั้งแปดร่วมกันเปิดทางในที่ดินโฉนดเลขที่ 173 ตำบลบางยุง (บางเลน) อำเภอบางปลา (บางเลน) แขวงเมืองนครไชยศรี (จังหวัดนครปฐม) กว้างประมาณ 6 เมตร ยาวจากทางสาธารณะจนถึงที่ดินโฉนดเลขที่ 172 ของโจทก์ทั้งสอง ให้จำเลยทั้งแปดรื้อถอนประตูรั้วและสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินส่วนที่เป็นทางดังกล่าว หากจำเลยทั้งแปดไม่ดำเนินการให้โจทก์ทั้งสองเป็นผู้ดำเนินการโดยจำเลยทั้งแปดเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย
จำเลยทั้งแปดให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์แต่ละสำนวนใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยทั้งแปด โดยกำหนดค่าทนายความให้สำนวนละ 3,000 บาท
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน ให้โจทก์ทั้งสองใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนจำเลยทั้งแปด 1,000 บาท
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า ที่ดินของโจทก์ทั้งสองโฉนดเลขที่ 172 ตำบลบางยุง (บางเลน) อำเภอบางปลา (บางเลน) แขวงเมืองนครไชยศรี (จังหวัดนครปฐม) ด้านทิศตะวันออกตลอดแนวติดแม่น้ำนครชัยศรี ทิศเหนือและทิศตะวันตกติดที่ดินผู้มีชื่อ ทิศใต้ติดที่ดินของจำเลยทั้งแปดโฉนดเลขที่ 173 ตำบลบางยุง (บางเลน) อำเภอบางปลา (บางเลน) แขวงเมืองนครไชยศรี (จังหวัดนครปฐม) จำเลยทั้งแปดทำทางพิพาทกว้างประมาณ 6 เมตร จากทางสาธารณะเข้ามาในที่ดินของจำเลยทั้งแปด คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองว่า โจทก์ทั้งสองมีสิทธิเรียกให้จำเลยทั้งแปดเปิดทางพิพาทเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสองหรือไม่ โดยโจทก์ทั้งสองฎีกาว่า แม้ที่ดินของโจทก์ทั้งสองอยู่ติดแม่น้ำนครชัยศรี แต่แม่น้ำนครชัยศรีเป็นที่ดินของรัฐ ถือว่าที่ดินของโจทก์ทั้งสองมีที่ดินของผู้อื่นล้อมรอบอยู่นั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ที่ดินแปลงใดมีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าของที่ดินแปลงนั้นจะผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้” ทางสาธารณะมิได้จำกัดเฉพาะทางบกเท่านั้น ทางน้ำเช่นแม่น้ำนครชัยศรีซึ่งเป็นที่ดินของรัฐก็เป็นทางสาธารณะ แม้การสัญจรทางแม่น้ำนครชัยศรีจะไม่สะดวกไม่สอดคล้องกับความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองเท่าการสัญจรทางบกดังที่โจทก์ทั้งสองอ้าง ก็หาทำให้แม่น้ำนครชัยศรีสิ้นสภาพการเป็นทางสาธารณะไปไม่ ทั้งที่ดินของโจทก์ทั้งสองตลอดแนวด้านทิศตะวันออกติดแม่น้ำนครชัยศรี โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าการเข้าออกจากที่ดินของโจทก์ทั้งสองสู่แม่น้ำนครชัยศรีต้องข้ามสระ บึง หรือมีที่ชันอันมีระดับที่ดินกับแม่น้ำนครชัยศรีซึ่งเป็นทางสาธารณะสูงกว่ากันมาก อันจะถือเป็นเหตุอนุโลมเสมือนว่าที่ดินของโจทก์ทั้งสองไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 วรรคสอง โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยทั้งแปดเปิดทางพิพาทเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสองได้ ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ