คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5791/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การแปลงหนี้เป็นสัญญาระหว่างคู่กรณีเพื่อระงับหนี้เดิมแล้วก่อให้เกิดหนี้ใหม่ขึ้นผูกพันกันแทน หนี้เดิมเป็นอันระงับไปเมื่อหนังสือรับสภาพหนี้ไม่มีลักษณะเป็นการแปลงหนี้เพราะไม่มีการตกลงทำสัญญาแปลงหนี้กันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 349อีกทั้งไม่มีข้อความตอนใดบ่งไว้เลยว่ามีการแปลงหนี้ และมิได้เป็นการแปลงหนี้ด้วยวิธีเปลี่ยนตัวลูกหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 350 เพราะไม่ปรากฏว่าลูกหนี้ใหม่ได้เข้ามาให้ความยินยอมทำสัญญาแปลงหนี้ด้วย กรณีจึงไม่ใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดมีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ และมีจำเลยที่ 3 เป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิด จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 และที่ 3ซื้อไม้จากโจทก์เป็นเงินจำนวน 60,505 บาท ทุกครั้งที่สั่งซื้อไม้จำเลยที่ 3 จะลงลายมือชื่อร่วมกับจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 แสดงออกจนโจทก์และลูกจ้างโจทก์เชื่อว่าจำเลยที่ 3 เป็นเจ้าของกิจการและเป็นผู้จัดการห้างจำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2และที่ 3 สั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ดังกล่าวแก่โจทก์ ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีอาญา ต่อมาจำเลยที่ 1และจำเลยที่ 2 ทำหนังสือยอมรับว่าจะชำระเงินจำนวน 60,505 บาทแก่โจทก์ โดยมีจำเลยที่ 3 เป็นพยานจึงขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชดใช้เงินแก่โจทก์จำนวน 60,505 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 3 เป็นหุ้นส่วนของจำเลยที่ 1ประเภทจำกัดความรับผิด จำเลยที่ 1 เป็นหนี้ค่าไม้ตามเช็ค 3 ฉบับเป็นเงิน 43,196 บาท ไม่ใช่จำนวน 60,505 บาท และจำเลยที่ 1ได้โอนสิทธิการรับเงินค่าก่อสร้างให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดวุฒิชัยเจริญ และให้เป็นผู้ชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 ซึ่งโจทก์ยอมรับและขอรับชำระหนี้จากห้างหุ้นส่วนจำกัดวุฒิชัยเจริญถึงสองครั้ง หนี้ของจำเลยจึงเป็นอันระงับไป ต่อมาห้างหุ้นส่วนจำกัดวุฒิชัยเจริญได้รับเงินค่าก่อสร้างทั้งหมด ห้างหุ้นส่วนจำกัดวุฒิชัยเจริญไม่ยอมจ่ายเงินให้โจทก์ตามที่ตกลงไว้ โจทก์จึงนำเช็คที่จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายก่อนที่จำเลยที่ 1 จะโอนสิทธิการรับเงินให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดวุฒิชัยเจริญมาฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีอาญาเพื่อบีบบังคับให้จำเลยที่ 3 ต้องรับโทษอาญาเป็นฟ้องเท็จและเบิกความเท็จต่อศาล โจทก์เกรงว่าจำเลยจะฟ้องกลับจึงเจรจากับจำเลยที่ 3 และถอนฟ้องคดีอาญาดังกล่าว โดยจะไม่เรียกร้องสิทธิใด ๆ จากจำเลยที่ 3 อีก ทั้งนี้โดยโจทก์มีเงื่อนไขว่าจำเลยที่ 3 ต้องนำจำเลยที่ 2 ไปทำหนังสือสัญญายอมรับสภาพหนี้ให้โจทก์ สัญญาดังกล่าวจำเลยที่ 2 รับผิดชอบเป็นการส่วนตัวจำเลยที่ 3 เพียงแต่ลงชื่อเป็นพยานมิได้เซ็นชื่อในฐานะคู่กรณีซึ่งจะต้องรับผิดชอบตามหนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวด้วย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษา ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 60,505 บาท ให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การแปลงหนี้เป็นสัญญาระหว่างคู่กรณีเพื่อระงับหนี้เดิมแล้วก่อให้เกิดหนี้ใหม่ขึ้นผูกพันกันแทน หนี้เดิมเป็นอันระงับไปแต่ตามหนังสือรับสภาพหนี้ไม่มีลักษณะเป็นการแปลงหนี้ระหว่างโจทก์กับห้างหุ้นส่วนจำกัดวุฒิชัยเจริญ เพราะไม่มีการตกลงทำสัญญาแปลงหนี้ระหว่างโจทก์กับห้างหุ้นส่วนจำกัดวุฒิชัยเจริญเพราะไม่มีการตกลงทำสัญญาแปลงหนี้กันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 349 ฟังได้แต่เพียงเป็นหลักฐานที่แสดงว่า จำเลยที่ 1เป็นหนี้ค้างชำระค่าไม้แปรรูปแก่โจทก์ จำนวน 60,505 บาทเท่านั้นไม่มีข้อความตอนใดบ่งไว้เลยว่ามีการแปลงหนี้ และมิได้เป็นการแปลงหนี้ด้วยวิธีเปลี่ยนตัวลูกหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 350 ด้วยเช่นกันเพราะไม่ปรากฏว่าห้างหุ้นส่วนจำกัดวุฒิชัยเจริญซึ่งเป็นลูกหนี้ใหม่ได้เข้ามาให้ความยินยอมทำสัญญากับโจทก์ด้วย กรณีจึงไม่ใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่ดังที่จำเลยที่ 3ฎีกา หนี้เดิมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ยังคงมีอยู่ หาได้ระงับไปไม่ จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้จัดการห้างจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ที่ได้สอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานของห้างจำเลยที่ 1จึงต้องร่วมกันรับผิดในบรรดาหนี้ทั้งหลายที่จำเลยที่ 1 ได้กระทำขึ้น
พิพากษายืน

Share