แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ยกฟ้องโจทก์ยืนตามศาลชั้นต้นโดยอาศัยข้อเท็จจริงนั้นแม้จะเป็นข้อเท็จจริงแต่ละอย่างทั้งสองศาลก็ตามโจทก์ก็ฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้ต้องห้ามตามมาตรา 219
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและเพิ่มเติมฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้ใหญ่บ้านได้เรียกและรับเงินจากโจทก์ 500 บาท รับจะพาไปเอาหลักฐานจากนางนิ่มเพื่อต่อสู้ข้อกล่าวหาซึ่งนางนิ่มแจ้งต่อจำเลยว่าโจทก์ยักยอกผ้า จำเลยเจตนาทุจริตหลอกลวงโจทก์ว่าจำเลยมีอำนาจหน้าที่ที่จะทำได้ จำเลยรับเงินไปแล้วกลับพานางนิ่มไปรับฟืนซึ่งจำเลยมอบให้โจทก์ เพื่อเป็นหลักฐานคืนแก่นางนิ่ม ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 137, 138, 145, 304, 70
ศาลไต่สวนสั่งว่าคดีมีมูลเฉพาะฐานใช้อำนาจและตำแหน่งหน้าที่ในทางทุจริต ตามมาตรา 137, 138, 145
จำเลยปฏิเสธ และตัดฟ้องว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
ศาลจังหวัดชัยภูมิวินิจฉัยว่า แม้จะถือว่าการที่จำเลยเรียกเงินจากโจทก์นั้นเป็นความผิดก็ตาม แต่ตามข้อเท็จจริงแห่งคดีก็ต้องปรับเข้าตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 138 ไม่ใช่ 137 ซึ่งโจทก์ไม่มีสิทธิจะฟ้องขอให้ลงโทษผู้รับสินบนในฐานะเป็นผู้เสียหายได้และการที่จำเลยไปเอาฟืนของนางนิ่มที่โจทก์เก็บไว้คืนนางนิ่มนั้นก็หามีความผิดตามมาตรา 145 ไม่ เพราะนางนิ่มไม่เอาเรื่องกับโจทก์แล้ว จำเลยจึงไม่มีอำนาจหน้าที่จะไปดำเนินคดี
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยไม่ได้เรียกร้องเอาเงิน 500 บาทจากโจทก์ จำเลยไม่ผิดตามฟ้อง พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาคัดค้านข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของโจทก์ว่า “รูปเรื่องไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 เพราะที่ศาลเดิมและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องของโจทก์นั้น ไม่ได้ชี้ขาดข้อเท็จจริงอย่างเดียวกัน ฯ”
ศาลฎีกาเห็นว่าที่ศาลชั้นต้นชี้ขาดในข้อเท็จจริงว่า โจทก์นำสืบได้ความไม่สมฟ้องและศาลอุทธรณ์ชี้ขาดว่าข้อนำสืบของโจทก์ฟังไม่ได้นั้นเป็นการยกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริงแต่ละอย่างทั้งสองศาล เมื่อโจทก์มิได้ฎีกาในข้อกฎหมาย ฎีกาโจทก์จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ให้ยกฎีกาโจทก์เสีย