แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยกู้เงินโจทก์ แล้วมอบนาพิพาทให้โจทก์ทำกินต่างดอกเบี้ย ในสัญญากู้มีข้อความว่า ถ้าจำเลยไม่นำเงินต้นและดอกเบี้ยมาชำระภายในหนึ่งปีนับแต่วันทำสัญญา จำเลยยอมยกที่ดินแปลงดังกล่าวให้เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์แทนเงินกู้ แต่มิได้ระบุว่าที่พิพาทมีราคาเท่าใด เท่ากับราคาในท้องตลาดในเวลาและ ณ สถานที่ส่งมอบหรือไม่ข้อสัญญาดังกล่าวนี้จึงขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 656 วรรคสอง และตกเป็นโมฆะตามวรรคสาม
จำเลยได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์อย่างคนอนาถา โดยได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมบางส่วน เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชนะคดี ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจกำหนดให้โจทก์ซึ่งจะต้องรับผิดเสียค่าฤชาธรรมเนียมนั้นเป็นผู้เสียค่าฤชาธรรมเนียมเฉพาะส่วนที่จำเลยได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์อย่างคนอนาถาได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 158
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ พ.ศ. 2502 จำเลยที่ 1 กับนายลอยสามีได้กู้เงินโจทก์7,000 บาท แล้วมอบที่พิพาทซึ่งเป็นที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครอง (ส.ค.1)ให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันหากไม่ชำระหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยภายในหนึ่งปียอมให้ที่พิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่โจทก์ ถึงกำหนดชำระเงินจำเลยไม่ชำระยอมเอานาพิพาทให้โจทก์เป็นการตีใช้หนี้ โจทก์ได้เข้าครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมา 18 ปีแล้ว จนเมื่อ พ.ศ. 2519 โจทก์ให้จำเลยออกโฉนดที่ดินให้โจทก์เนื่องจาก ส.ค.1 เป็นชื่อของจำเลย แต่จำเลยออกโฉนดแล้วกลับโอนที่พิพาทให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรมิได้โอนใส่ชื่อโจทก์ จึงขอให้ศาลเพิกถอนการโอนดังกล่าวและให้จำเลยใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของ กับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ไม่ได้ทำสัญญากู้ฉบับที่โจทก์นำมาฟ้อง จำเลยกู้เงินโจทก์เพียง 3,000 บาท แต่โจทก์ทำสัญญากู้เพิ่มเป็น 7,000 บาทและโจทก์ทำนาพิพาทต่างดอกเบี้ย สัญญาฉบับที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นสัญญาปลอม ข้อตกลงยกที่นาตีใช้หนี้เป็นโมฆะ นาพิพาทโจทก์ไม่ได้หักสร้างเพิ่มเติมโจทก์ไม่เสียหายตามฟ้อง โจทก์ครอบครองนาพิพาทแทนจำเลย โจทก์ใช้เล่ห์เพทุบายไม่ให้จำเลยไถ่ โจทก์ไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ เนื่องจากจำเลยทั้งสองได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์อย่างคนอนาถาโดยได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลอุทธรณ์บางส่วน ให้โจทก์ทั้งสองชำระค่าธรรมเนียมส่วนที่จำเลยได้รับยกเว้นในนามของจำเลย
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อตกลงในสัญญากู้ข้อ 2 มีข้อความว่า”และถ้าข้าพเจ้าไม่นำเงินต้นและดอกเบี้ยมาชำระภายในหนึ่งปีนับแต่วันทำสัญญานี้ ข้าพเจ้ายอมยกที่ดินแปลงนี้ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของท่านแทนเงินกู้” ข้อความดังกล่าวนี้ไม่ระบุให้ปรากฏว่า ที่ดินแปลงพิพาทนี้มีราคาเท่าใด เท่ากับราคาในท้องตลาดในเวลาและ ณ สถานที่ส่งมอบหรือไม่ก็ไม่ปรากฏในข้อความดังกล่าวนี้จึงเป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 656 วรรคสองโดยชัดแจ้ง เฉพาะข้อความที่กล่าวมาข้างต้นนี้จึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 656 วรรคสาม
ข้อที่โจทก์ว่าจำเลยที่ 1 เอาที่นาตีใช้หนี้เมื่อ พ.ศ. 2504 แล้วโจทก์ได้เข้าครอบครองอย่างเป็นเจ้าของตลอดมานั้น พยานโจทก์ก็ให้การแตกต่างกันข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ไม่เคยยกที่นาพิพาทตีใช้หนี้แก่โจทก์ และโจทก์ครอบครองที่พิพาทมาแทนจำเลยจึงไม่มีสิทธิครอบครอง
ส่วนที่โจทก์ทั้งสองฎีกาว่า จำเลยทั้งสองได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์อย่างคนอนาถาแล้ว จึงไม่ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะบังคับให้โจทก์เป็นผู้ชำระเงินค่าธรรมเนียมที่จำเลยทั้งสองได้รับยกเว้น รวมทั้งค่าทนายความนั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 158 บัญญัติว่า”ถ้าศาลเห็นว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะต้องเป็นผู้รับผิดเสียค่าฤชาธรรมเนียมทั้งหมดหรือแต่บางส่วนของคู่ความทั้งสองฝ่ายให้ศาลพิพากษาในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมโดยสั่งให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งนั้นชำระต่อศาลในนามของบุคคลผู้ฟ้องหรือต่อสู้ความอย่างคนอนาถา ซึ่งค่าฤชาธรรมเนียมที่ผู้ฟ้องหรือต่อสู้ความอย่างคนอนาถานั้นได้รับยกเว้นทั้งหมดหรือบางส่วนตามที่ศาลเห็นสมควร” ดังนี้ศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจพิพากษาให้โจทก์ผู้ซึ่งจะต้องรับผิดเสียค่าฤชาธรรมเนียมทั้งหมดให้เป็นผู้เสียค่าฤชาธรรมเนียมเฉพาะส่วนที่จำเลยได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์อย่างคนอนาถาได้
พิพากษายืน