แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยและผู้เสียหายสมัครใจวิวาทกันด้วยเรื่องพูดผิดหูเพียงเล็กน้อย โดยไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน ผู้เสียหายใช้ไม้คมแฝกตีศีรษะจำเลย 1 ที จำเลยก็ใช้มีดปลายแหลมยาวทั้งด้ามทั้งตัวประมาณ 1 คืบแทงไป 1 ที ผู้เสียหาตีซ้ำอีก 1 ที จำเลยก็แทงไปอีก 1 ที ดังนี้ เห็นได้ว่าจำเลยได้แทงผู้เสียหายในขณะถูกตีศีรษะโดยกระทันหันในทันทีทันใด จำเลยย่อมจะมึนงงอยู่เพราะถูกตีศีรษะ และขณะนั้นก็มีแสงขมุกขมัวไม่เห็นกันถนัด ไม่มีโอกาสที่จำเลยจะตั้งใจเลือกหรือกำหนดได้ว่าจะแทงไปถูกตรงไหนของร่างกายได้ ทั้งเมื่อผู้เสียหายร้องขึ้นว่าถูกจำเลยแทง จำเลยก็ทิ้งมีดหนีโดยไม่ได้ทำร้ายซ้ำเติมอีก เช่นนี้ ยังไม่พอฟังว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับนายชาญซึ่งถูกฟ้องศาลพิพากษาลงโทษไปแล้ว ได้วิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันโดยนายชาญใช้ไม้คมแฝกตีจำเลย ส่วนจำเลยใช้มีดพกแทงนายชาญเป็นแผลทะลุเข้าช่องปอดและทะลุเข้าตับอ่อนถึงทุพพลภาพประกอบด้วยทุกขเวทนาเกินกว่า ๒๐ วัน ทั้งนี้ โดยจำเลยมีเจตนาฆ่านายชาญให้ตาย หากแต่นายชาญได้รับการพยาบาลทันท่วงทีจึงไม่ถึงแก่คววามตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๗, ๒๘๘, ๘๐
จำเลยให้การรับว่า ได้ใช้มีดแทงผู้เสียหายจริง แต่ต่อสู้ว่าเป็นการป้องกันตัว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา ๒๘๘, ๘๐
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษตามมาตรา ๒๙๗
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้ลงโทษตามมาตรา ๒๙๗
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษฐานพยายามฆ่า
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ได้ความว่าจำเลยและผู้เสียหายต่างสมัครใจท้าทายเข้าวิวาทกันด้วยเรื่องพูดผิดหูกันเพียงเล็กน้อย คนทั้งสองเป็นเพื่อนอยู่ห้องแถวติดกัน ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน เมื่อท้าทายกันแล้วทั้งสองฝ่ายต่างถืออาวุธออกจาห้องของตนมาที่ระเบียงหน้าห้องซึ่งมีแสงขมุกขมัว จำเลยถือมีดพกปลายแหลมยาวทั้งด้ามทั้งตัวประมาณ ๑ คืบ กำลังยืนก้มตัวพูดกับภริยาจำเลยอยู่ ผู้เสียหายถือไม้คมแฝกตรงเข้าตีศีรษะจำเลยในขณะที่จำเลยก้มตัวอยู่นั้น ๑ ที จำเลยก็ใช้มีดที่ถืออยู่แทงไป ๑ ที ผู้เสียหายตีจำเลยซ้ำอีก ๑ ที จำเลยก็แทงไปอีก ๑ ที พอผู้เสียหายร้องขึ้นว่า ถูกจำเลยแทงเอาแล้ว จำเลยก็ทิ้งมีดผละหนีไป ดังนี้ เห็นได้ว่าจำเลยได้แทงผู้เสียหายในขณะถูกตีที่ศีรษะโดยกระทันหันในทันทีทันใด จำเลยย่อมจะมึนงงอยู่เพราะถูกตีที่ศีรษะและขณะนั้นก็มีแสงไฟขมุกขมัวไม่เห็นกันถนัด ไม่มีโอกาสที่จำเลยจะตั้งใจเลือกหรือกำหนดได้ว่าจะแทงไปถูกที่ตรงบริเวณส่วนไหนของร่างกายผู้เสียหายได้ ทั้งเมื่อผู้เสียหายร้องขึ้น จำเลยรู้ตัวว่าได้แทงไปถูกผู้เสียหายเข้าแล้ว จำเลยก็ทิ้งมีดหนีโดยไม่ได้ถือโอกาสเข้าทำร้ายซ้ำเติมอย่างไรอีก ดังนี้ แสดงว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย ศาลฎีกาเห็นว่าข้อเท็จจริงยังไม่พอฟังว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย ควรมีความผิดเพียงในฐานทำร้ายร่างกายสาหัส ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.