คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 554/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยกับสิบตำรวจโทสำเนียงและสิบตำรวจเอกเหมกลับจากงานบวชนาคด้วยกันเมื่อไปถึงทุ่งนาสิบตำรวจโทสำเนียงบอกว่าจะไปถ่ายเพราะปวดท้องจึงมอบปืนไว้กับสิบตำรวจเอกเหมแล้วสิบตำรวจโทสำเนียงก็เดินไปโดยจำเลยเดินตามไปด้วยสิบตำรวจเอกเหมไปคุยอยู่กับพรรคพวกจำเลยได้กลับมาหาสิบตำรวจเอกเหมและเอาความเท็จบอกว่าสิบตำรวจโทสำเนียงให้มาเอาปืนจะไปธุระ สิบตำรวจเอกเหมเห็นว่าจำเลยกับสิบตำรวจโทสำเนียงเจ้าของปืนเป็นเพื่อนกัน จึงหลงเชื่อตามคำหลอกลวงของจำเลยและมอบปืนให้จำเลยไป ดังนี้ การกระทำของจำเลยจึงอยู่ในลักษณะที่เห็นได้ว่าจำเลยหลอกลวงให้สิบตำรวจเอกเหมหลงเชื่อจนได้ปืนไปจากสิบตำรวจเอกเหมผู้ถูกหลอกลวง ฉะนั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นผิดฐานฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 7/2509)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้มีเจตนาทุจริต ใช้อุบายหลอกลวงสิบตำรวจเอกเหมด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ และปกปิดความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง โดยจำเลยใช้อุบายหลอกลวงว่าสิบตำรวจโทสำเนียงเจ้าของอาวุธปืนให้มาเอาปืนซึ่งฝากไว้กับสิบตำรวจเอกเหมเพื่อจะไปธุระ อันเป็นการแสดงข้อความอันเป็นเท็จความจริงสิบตำรวจโทสำเนียงมิได้ใช้ให้จำเลยเอาอาวุธปืนดังกล่าวจากสิบตำรวจเอกเหม เป็นเหตุให้สิบตำรวจเอกเหมหลงเชื่อคำหลอกลวงของจำเลย จึงได้มอบอาวุธปืนให้จำเลยไป ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341ให้จำคุกจำเลย 1 ปี

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน แต่มีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์นายหนึ่งเขียนความเห็นแย้งว่าสิบตำรวจโทสำเนียงมิได้ฝากปืนกับสิบตำรวจเอกเหม เป็นแต่มอบให้ยึดถือรักษาไว้ชั่วขณะหนึ่ง ระหว่างที่สิบตำรวจโทสำเนียงไปทำกิจส่วนตัวอยู่ใกล้ ๆ การครอบครองปืนยังอยู่กับสิบตำรวจโทสำเนียง ฉะนั้น จึงเห็นได้ชัดว่าจำเลยเอาปืนไปจากสิบตำรวจเอกเหม จะด้วยอุบายหลอกลวงอย่างใด ก็เป็นแต่อุบายเพื่อเอาทรัพย์ไปจากความครอบครองของสิบตำรวจโทสำเนียงซึ่งต้องถือว่ายังเป็นผู้ครอบครองปืนอยู่ในขณะนั้น โดยจำเลยก็รู้ข้อเท็จจริงนี้ดีอยู่ ไม่ใช่เอาไปจากความครอบครองของสิบตำรวจเอกเหมการเอาไปจึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ เพราะมิได้หลอกลวงสิบตำรวจโทสำเนียงผู้ครอบครองทรัพย์นั้นแต่ประการใด จึงเห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 ข้อ 1

จำเลยฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานลักทรัพย์แต่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษฐานฉ้อโกง เมื่อข้อเท็จจริงในทางพิจารณาต่างกับฟ้อง ศาลชอบที่จะพิพากษายกฟ้องโจทก์

ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาแล้ว ทางพิจารณาฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติได้ว่า สิบตำรวจโทสำเนียงและสิบตำรวจเอกเหมไปในงานบวชนาค เมื่อกินเลี้ยงเสร็จแล้ว เมื่อเวลาประมาณ 21 นาฬิกา สิบตำรวจโทสำเนียง สิบตำรวจเอกเหมและจำเลยพากันไปทางทุ่งนาสิบตำรวจโทสำเนียงบอกสิบตำรวจเอกเหมว่าจะไปถ่ายเพราะปวดท้อง และมอบปืนไว้กับสิบตำรวจเอกเหม แล้วสิบตำรวจโทสำเนียงก็เดินไปโดยจำเลยเดินตามไปด้วย เดินไปได้ประมาณ 4-5 วา สิบตำรวจโทสำเนียงก็แยกไปถ่าย สิบตำรวจเอกเหมได้ไปคุยอยู่กับพรรคพวก จำเลยได้กลับมาหาสิบตำรวจเอกเหมและบอกว่าสิบตำรวจโทสำเนียงให้มาเอาปืนจะไปธุระ สิบตำรวจเอกเหมหลงเชื่อเพราะจำเลยเป็นเพื่อนกับสิบตำรวจโทสำเนียง จึงมอบปืนให้จำเลยไป รุ่งขึ้นสิบตำรวจโทสำเนียงไปเอาปืนจากสิบตำรวจเอกเหม สิบตำรวจเอกเหมจึงบอกว่าจำเลยมาบอกว่าสิบตำรวจโทสำเนียงให้จำเลยมาเอาปืนจึงมอบปืนให้จำเลยไป สิบตำรวจโทสำเนียงบอกว่าไม่ได้ใช้ให้จำเลยมาเอาปืน เมื่อทราบเรื่องดังกล่าวสิบตำรวจโทสำเนียงก็ไปสอบถามจำเลย จำเลยปฏิเสธว่าไม่ได้เอาไปคดีมีประเด็นที่จะต้องพิจารณาว่าการกระทำของจำเลยจะเป็นผิดฐานใดศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 นั้นถ้าการกระทำอยู่ในลักษณะที่เห็นได้ว่าผู้กระทำได้หลอกลวงจนได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่ 3 หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่ 3 ทำ ถอนหรือทำลายเอกสารสิทธิแล้วผู้กระทำก็มีความผิดฐานฉ้อโกง เรื่องนี้เห็นได้ชัดว่าจำเลยได้ปืนจากสิบตำรวจเอกเหมโดยเอาความเท็จไปบอกว่าสิบตำรวจโทสำเนียงเจ้าของปืนให้มาเอาปืนเพื่อจะไปธุระ สิบตำรวจเอกเหมเห็นว่าสิบตำรวจโทสำเนียงกับจำเลยเป็นเพื่อนกัน จึงหลงเชื่อตามคำหลอกลวงของจำเลยและมอบปืนให้จำเลยไป ดังนี้ การกระทำของจำเลยจึงอยู่ในลักษณะที่เห็นได้ว่าจำเลยหลอกลวงให้สิบตำรวจเอกเหมหลงเชื่อจนได้ปืนไปจากสิบตำรวจเอกเหมผู้ถูกหลอกลวง ฉะนั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน

Share