คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5781/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้จำนวน 84,000 บาท แต่โจทก์นำสืบรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นหนี้จำนวนดังกล่าวเมื่อจำเลยให้การว่าเป็นหนี้โจทก์จำนวน 33,000 บาท โดยได้ความว่าแยกเป็นหนี้ต้นเงินจำนวน 10,000 บาท ส่วนที่เหลือ 23,000 บาท เป็นดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อเดือน ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระต้นเงินจำนวน 10,000 บาทได้ ส่วนเงินอีก 23,000 บาท เป็นดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด จึงตกเป็นโมฆะ แม้จำเลยจะให้การยอมรับจะชำระเงินจำนวนนี้ ก็บังคับให้ไม่ได้
เมื่อได้ความว่าโจทก์เรียกดอกเบี้ยเกินอัตราเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พุทธศักราช 2475 มาตรา 3ประกอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 อันเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจยกขึ้นปรับแก่คดีได้เอง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5),246, 247.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๒๗ จำเลยทำหนังสือสัญญากู้เงินโจทก์เป็นจำนวน ๘๔,๐๐๐ บาท แล้วไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยจำนวน ๙๓,๔๕๐ บาท แก่โจทก์ กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน ๘๔,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๔ จำเลยได้กูเงินโจทก์จำนวน๑๐,๐๐๐ บาท ดอกเบี้ยร้อยละ ๕ ต่อเดือน ต่อมาวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๒๗โจทก์ทวงถามจำเลยขอผัดผ่อน โจทก์จึงให้จำเลยทำสัญญากู้เป็นเงิน๓๓,๐๐๐ บาท โดยรวมทั้งต้นเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท และดอกเบี้ย ๒๓,๐๐๐ บาทจำเลยขอชำระหนี้จำนวน ๓๓,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปีนับแต่วันทำสัญญากู้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระต้นเงิน ๑๐,๐๐๐ บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน ๓๓,๐๐๐ บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่๒๗ สิงหาคม ๒๕๒๗ ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าจำเลยไม่ได้กู้เงินจำนวน ๘๕,๐๐๐ บาท แต่สัญญากู้ดังกล่าวมีมูลหนี้มาจากหนี้เงินกู้เดิมที่จำเลยกู้โจทก์ไปแล้วยังไม่ชำระ นำมารวมกับดอกเบี้ยค้างชำระ จำเลยนำสืบว่า เมื่อ ๕ ปีมาแล้วจำเลยกู้เงินโจทก์จำนวน ๑๐,๐๐๐ บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๕ ต่อเดือนโจทก์ทวงถามจำเลยหลายครั้งแต่จำเลยไม่มีเงินชำระ ต่อมาวันที่๒๗ สิงหาคม ๒๕๒๗ โจทก์จึงให้จำเลยทำสัญญากู้เอกสารหมาย จ.๑จำนวน ๘๔,๐๐๐ บาท แต่ภายหลังจำเลยคำนวณแล้วคงเป็นหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยจำนวน ๓๓,๐๐๐ บาทเท่านั้น และจำเลยยอมชำระเงินจำนวนนี้เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เดิมจำเลยเป็นหนี้ต้นเงิน ๑๐,๐๐๐บาทเท่านั้น ซึ่งจำเลยจะต้องรับผิดคืนเงินจำนวนนี้ แต่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันทำสัญญากู้เอกสารหมาย จ.๑เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จตามสัญญา ส่วนเงินอีก ๒๓,๐๐๐ บาท ได้ความว่าเป็นดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๕ ต่อเดือน เกินอัตราที่กฎหมายกำหนดอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราพุทธศักราช ๒๔๗๕ มาตรา ๓ ประกอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๖๕๕ จึงตกเป็นโมฆะ แม้จำเลยจะให้การยอมรับจะชำระเงินจำนวนนี้ ก็บังคับให้ไม่ได้ และความข้อนี้เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจยกขึ้นปรับแก่คดีได้เอง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๓(๕), ๒๔๖, ๒๔๗
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ ๒๗ สิงหาคม๒๕๒๗ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share